สันนิบาตสหกรณ์แห่งประเทศไทย
(สสท.) จัดเวทีเสวนา เรื่อง “ร่างกฎกระทรวงฯ
ฉบับที่ 2 มุมมองของคนสหกรณ์ จะไปต่อหรือพอแค่นี้ ?” และรับฟังความคิดเห็นร่างกฎกระทรวงฉบับที่
2 (ร่างกฎกระทรวง
การบริหารจัดการและการกำกับดูแลทางการเงินของสหกรณ์ออมทรัพย์และสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยน
พ.ศ..) โดยมี นายปรเมศวร์ อินทรชุมนุม ประธานฯ สสท. ดำเนินรายการ และ ผู้ร่วมเสวนา
ประกอบด้วย ผศ.ดร.รังสรรค์ ปิติปัญญา รองประธานฯ
ชุมนุมสหกรณ์ออมทรัพย์แห่งประเทศไทย
นายไพบูลย์ แก้วเพทาย อดีตประธานฯ ชุมนุมสหกรณ์ออมทรัพย์แห่งประเทศไทย
ผศ.อาภากร มินวงษ์ อดีตประธานฯชุมนุมสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนแห่งประเทศไทย
และนายสิรวิชญ์ ไพศาสตร์ ที่ปรึกษา สันนิบาตสหกรณ์ฯ ณ ศูนย์การประชุมรัชนีแจ่มจรัส
ถนนพิชัย เขตดุสิต กรุงเทพฯ
นายปรเมศวร์
อินทรชุมนุม ประธานฯ สสท . กล่าวถึงที่มาร่างกฎกระทรวงฯดังกล่าว ว่า
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงตามพระราชบัญญัติสหกรณ์ (ฉบับที่ 3)
พ.ศ. 2562 รวม 5 ฉบับ
ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอและส่งให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาร่างกฎกระทรวง
ต่อมา สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาได้ตรวจพิจารณาและรวมร่างกฎกระทรวงดังกล่าว 5
ฉบับเป็นฉบับเดียวพร้อมทั้งแก้ไขชื่อร่างกฎกระทรวง เป็น “ร่างกฎกระทรวง
การบริหารจัดการและการกำกับดูแลทางการเงินของสหกรณ์ออมทรัพย์และสหกรณ์เครดิตยูเนียน
พ.ศ...” แต่เนื่องด้วยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องยังคงมีความเห็นแตกต่างกันและไม่สามารถหาข้อยุติร่วมกันได้ จึงเห็นสมควรให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปพิจารณาร่วมกันให้ได้ข้อยุติและเสนอร่างกฎกระทรวงต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาหลักการอีกครั้ง
กรมส่งเสริมสหกรณ์และกรมตรวจบัญชีสหกรณ์ได้รับฟังความเห็นจากสำนักงานเศรษฐกิจการคลังและธนาคารแห่งประเทศไทยได้พิจารณาปรับปรุงร่างกฎกระทรวงดังกล่าว
ต่อมา ต้นเดือนมิถุนายน กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้ เสนอกฎกระทรวงฉบับที่ 2
อันเกี่ยวข้องกับสหกรณ์ประเภทเครดิต ยูเนี่ยนและสหกรณ์ออมทรัพย์ รวม 5
เรื่องซึ่งเป็นสาระที่ค่อนข้างสำคัญส่งผลกระทบต่อระบบสหกรณ์
รวมถึงกฎกระทรวงฉบับนี้ไม่ได้คุ้มครองและส่งเสริมขบวนการสหกรณ์เท่าทีควร
จึงเป็นที่มาของการจัดเสวนาประชาพิจารณ์ในครั้งนี้
ผู้เสวนาและผู้เข้าร่วมทั้งในห้องประชุมและที่ผ่านระบบ
ZOOM ร่วมกันถกและเสนอความคิดเห็นของร่างร่างกฎกระทรวงฉบับที่
2 (ร่างกฎกระทรวง การบริหารจัดการและการกำกับดูแลทางการเงินของสหกรณ์ออมทรัพย์และสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยน
พ.ศ..... ) รวม 3 ประเด็น ที่ส่งผลกระทบต่อการดำเนินงานของสหกรณ์และสมาชิก
1.
ร่างกฎกระทรวงฯได้กำหนดให้การกู้เงินทุกประเภทที่เกิน 2 ล้านบาท จะต้องเข้าสู่กระบวนการตรวจสอบเครดิตบูโร
ส่งผลให้สมาชิกเข้าสู่ระบบการกู้เงินของสหกรณ์ได้ยากขึ้น
เนื่องจากมีระบบการตรวจสอบ
ที่เข้มข้นแต่ระบบสหกรณ์เป็นระบบที่มีความพิเศษแตกต่างจากธนาคารและสถาบันการเงินอื่นๆ เช่น สหกรณ์มีการค้ำประกันโดยสมาชิก
มีทุนเรือนหุ้น มีเงินฝากและสามารถหัก ณ ที่จ่ายได้ การบังคับเข้าระบบเครดิตบูโร
อาจส่งผลกระทบต่อสมาชิกโดยตรง คือ สมาชิกส่วนใหญ่อาจจะกู้ไม่ได้ หรือกู้ได้ยากขึ้น
และเป็นการผลักดันให้สมาชิกต้องกู้นายทุนและกู้นอกระบบ ที่ดอกเบี้ยแพง
ส่งผลต่อปากท้องของประชาชนคนรากหญ้า นอกจากนี้
ร่างกฎกระทรวงยังกำหนดให้สหกรณ์ไม่สามารถเอาเรื่องของฌาปนกิจสงเคราะห์มาเป็นหลักประกันได้
ทำให้ หากสมาชิกถึงแก่กรรมจะไม่สามารถ ชำระหนี้ได้ ทำให้เป็นภาระของผู้ค้ำประกัน
หรือไม่ก็เป็นภาระของสหกรณ์ ที่จะต้องค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญเต็มจำนวน
2.
การรับเงินฝากกระทบต่ออัตราดอกเบี้ยเงินรับฝาก
โดยร่างกฎกระทรวงฯกำหนดให้สหกรณ์ออมทรัพย์และสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยน
ต้องอ้างอิงข้อมูลตามดอกเบี้ยนโยบายของ คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) โดยกำหนดดอกเบี้ยเงินรับฝากได้ไม่เกินร้อยละ
3.50 % ต่อปี (ดอกเบี้ยนโยบาย 0.50 + 3.00%)
ทำให้สหกรณ์ขาดความเป็นอิสระต้องยึดโยง กับนโยบายของ กนง.
ซึ่งเกิดความไม่เป็นธรรมเพราะแม้แต่สถาบันการเงินหลักหรือแบงก์ชาติ
ยังไม่ต้องกำหนดดอกเบี้ยตามนโยบายของ กนง. เนื่องจาก ธนาคารมีขนาดไม่เท่ากัน
มีโครงสร้างเงินทุนแต่ละธนาคารไม่เหมือนกัน เช่นเดียวกันกับสหกรณ์
อีกทั้งในปัจจุบัน ตลาดโลกมีอัตราดอกเบี้ยอยู่ในช่วงขาขึ้น
ฉะนั้นการกำหนดอัตราดอกเบี้ย แบบนี้จะสวนกระแสตลาดและไม่สอดคล้องกับข้อเท็จจริง
ส่งผลกระทบให้สหกรณ์ ไม่สามารถรับฝากเงินได้
และเหมือนเป็นการพยายามทำให้เงินฝากในระบบเงินฝากของสหกรณ์ไหลไปสู่สถาบันการเงินอื่น
เช่น ธนาคาร หรือตลาดหลักทรัพย์ หรือกองทุน
3.
การจัดชั้นลูกหนี้เงินกู้และการให้สินเชื่อหรือสินทรัพย์ให้สะท้อนถึงความสามารถในการชำระหนี้อย่างแท้จริงและการกันเงินสำรอง
และสามารถจำกัดปริมาณการทำธุรกรรมกับลูกหนี้และเจ้าหนี้รายใดรายหนึ่ง
เพื่อเป็นการป้องกันการกระจุกตัวของความเสี่ยงไม่ให้สูงจนเกินไปและสอดคล้องกับการบริหาร
เรื่องดังกล่าวเป็นการจัดชั้นคุณภาพและการตั้งค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญ
ซึ่งของเดิมสามารถนำเงินเรือนหุ้นมาหักได้ แต่ร่างกฎกระทรวงใหม่
ไม่สามารถเอาทุนเรือนหุ้นไปหักหนี้ก่อนตั้งค่าหนี้เผื่อสงสัยจะสูญ
ทำให้สหกรณ์ได้รับผลกระทบ ทำให้เกิดหนี้เสีย
(NPL) ของสหกรณ์สูงขึ้น
เมื่อหนี้เสียสูงเมื่อนำไปหักลบกลบกำไรแล้วทำให้กำไรของสหกรณ์ลดลง
เมื่อกำไรลดลงปันผลและเฉลี่ยคืน ก็ลดลงตามลำดับ
ส่งผลกระทบต่อสมาชิกและส่งผลกระทบต่อสหกรณ์
ผศ.ดร.รังสรรค์
ปิติปัญญา ให้ข้อสังเกตว่า
ร่างกฎกระทรวงนี้นำเอาแนวคิดทุนนิยมมาใช้กับสหกรณ์ซึ่งกรอบแนวคิดจะไม่เหมือนกัน
แนวคิดทุนนิยมเน้นผลกำไรและความมั่นคงทางเศรษฐกิจแต่หลักการสหกรณ์เน้นการเอื้ออาทรช่วยเหลือซึ่งกันและกัน
แนวคิดทุนนิยมทำให้สหกรณ์ไม่สามารถช่วยเหลือสมาชิกได้อย่างเต็มที่ รับฝากได้น้อยลง
กู้กันเองได้ยากขึ้น ผลักดันให้สมาชิกสหกรณ์ต้องกู้นอกระบบ
ถือเป็นการทำลายศักยภาพการทำงานของสหกรณ์ รวมถึงขัดต่อหลักการพึ่งพากันเอง
นายไพบูลย์ แก้วเพทาย
ให้ความเห็นว่า สหกรณ์ไม่ใช่ธนาคาร
การที่ร่างกฎกระทรวงฯกำหนดให้สหกรณ์ออมทรัพย์และสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยน
ต้องอ้างอิงข้อมูลตามดอกเบี้ยนโยบายของคณะกรรมการนโยบายการเงิน
โดยกำหนดดอกเบี้ยเงินรับฝากได้ไม่เกินร้อยละ 3.50 % ต่อปี นั้นไม่เหมาะสม
ธนาคารแห่งประเทศไทยไม่มีความเข้าใจระบบสหกรณ์ที่เป็นการทำธุรกรรมในวงศ์สัมพันธ์เดียวกันซึ่งเป็นคนละหลักการกับธนาคารอย่างสิ้นเชิง
ผศ.อาภากร
มินวงษ์ กล่าวว่า ร่างกฎกระทรวงฯ กระทบต่อการกำกับดูแลทางการเงิน
และการเติบโตของสหกรณ์ประเภทเครดิตยูเนี่ยน
ที่มีความแตกต่างจากสหกรณ์ประเภทออมทรัพย์
แต่ผู้ที่เกี่ยวข้องกับการร่างกฎกระทรวงฯ ขาดความเข้าใจ
และนำตัวบทกฎหมายที่ไม่สอดคล้องมาบังคับใช้
กล่าวคือ สหกรณ์เครดิตฯไม่ได้ดำเนินการหักเงินค่าหุ้น ณ ที่จ่ายเช่นเดียวกับสหกรณ์ประเภทออมทรัพย์
แต่เมื่อนำกฎกติกาเดียวกันมาใช้จะส่งผลให้สหกรณ์ประเภทเครดิตยูเนี่ยนต้องหายไปจากสารระบบของสหกรณ์ไทย
นอกจากนี้ยังมีอีกหลายๆมาตราที่ขัดต่อการดำเนินงานของสหกรณ์ประเภทเครดิตยูเนี่ยนและอาจส่งผลกระทบระยะยาวให้ปัญหาบานปลายจนเกินกว่าจะแก้ไขได้
นายสิรวิชญ์ ไพศาสตร์ กฎกระทรวงฯน่าจะเขียนคลาดเคลื่อน
หลายอย่างเช่นหลักเกณฑ์การปรับโครงสร้างหนี้ ,การกำหนดให้สหกรณ์ไม่สามารถเอาเรื่องของฌาปนกิจสงเคราะห์มาเป็นหลักประกันได้,การตั้งหนี้เผื่อสงสัยจะสูญ และ
ไม่สามารถเอาทุนเรือนหุ้นไปหักหนี้ก่อนตั้งค่าหนี้เผื่อสงสัยจะสูญ ทำให้สหกรณ์ได้รับผลกระทบ
ทำให้เกิดหนี้เสีย (NPL) ของสหกรณ์สูงขึ้น
จะเห็นได้ว่า โดยรวมร่างกฎกระทรวงฯ
ฉบับนี้ หากนำมาบังคับใช้จริง จะส่งผลให้สหกรณ์เติบโตอย่างยากลำบาก อีกทั้งร่างฯ
ดังกล่าวเป็นการแทรกแซงการบริหารของคณะกรรมการสหกรณ์ขัดต่อหลักการสหกรณ์ ข้อ ที่ 4
คือสหกรณ์ต้องพึ่งตนเองและมีความเป็นอิสระ รวมถึงในอนาคตสหกรณ์ต้องเตรียมรับมือกับร่างกฎกระทรวงฉบับที่
3 ซึ่งเป็นเรื่องการฝากและการลงทุนของสหกรณ์
อันน่าจะกระทบต่อสหกรณ์โดยภาพรวมไม่มากก็น้อย สสท.
จะจัดรวบรวมความคิดเห็นของการประชาพิจารณ์ในวันนี้ สรุปให้สำนักงานกฤษฎีกา , กระทรวงเกษตรฯ หรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
หากกฎกระทรวงฯที่ออกมายังไม่คุ้มครองหรือไม่สร้างเสถียรภาพต่อสหกรณ์อาจจะต้องยื่นต่อศาลรัฐธรรมนูญต่อไปตามระบบประชาธิปไตยต่อไป
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น