วันศุกร์ที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2563

ทึ่ง! นักวิจัยสงขลา ค้นพบเห็ดเยื่อไผ่สายพันธุ์ไทย


      นพวรรณ นิลสุวรรณ นักวิจัยศูนย์วิจัยและพัฒนาการเกษตรสงขลา สำนักวิจัยและพัฒนาการเกษตรเขตที่ 8 กรมวิชาการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ หัวหน้าทีมวิจัยทำการสำรวจและค้นพบเห็ดเยื่อไผ่หรือร่างแห สายพันธุ์ไทย 9 สายพันธุ์ พบว่ารสชาติ กลิ่นว่าดีกว่าของจีนมาก


       ผลวิเคราะห์คุณค่าทางโภชนาการ ของเห็ดร่างแหกระโปรงสั้นสีขาว  จากการเพาะเลี้ยง จำนวน 16 รายการ พบว่ามีโปรตีน 22.83 กรัม คาร์โบไฮเดรต 52.91 กรัม ไขมัน 1.45 กรัม ใยอาหาร 12.42 กรัม ในส่วนของเกลือแร่พบว่ามีแคลเซียม 51.05 กรัม เหล็ก 7.73 กรัม แมกนีเซียม 1.2 กรัม ซิลิเนียม 1.01 มิลลิกรัม และ สังกะสี 56.34 มิลลิกรัม กลุ่มพวกวิตามินพบ วิตามินซี 23.30 มิลลิกรัม  B2 0.63 มิลลิกรัม B3 0.63 มิลลิกรัม B5 2.61 มิลลิกรัม B7 0.01 มิลลิกรัม B9 0.02 มิลลิกรัม และ B12 0.005 มิลลิกรัม ซึ่งสามารถแบ่งกลุ่มได้ดังนี้ กลุ่มสารต้านอนุมูลอิสระ ได้แก่ วิตามินซี  ซิลิเนียม สังกะสี มีส่วนป้องกันการเกิดมะเร็งต่อมลูกหมาก และมะเร็งลำไส้ กลุ่มสารที่มีส่วนช่วยกระบวนการทำงานของกล้ามเนื้อหัวใจ ได้แก่ แคลเซียม และแมกนีเซียม กลุ่มสารที่มีส่วนช่วยกระบวนการทำงานของสมองด้านการเรียนรู้ การจดจำ ได้แก่เหล็ก folic (วิตามิน B9) และวิตามิน B 12 


      ทดสอบความเป็นพิษเฉียบพลันในสัตว์ทดลอง (Acute oral toxicity) ไม่พบความผิดปกติของอวัยวะภายใน ซึ่งอยู่ในระดับความปลอดภัยระดับที่ 5 โดยมีค่า LD 50 ที่ 5,000 mg/kg แสดงให้เห็นว่า ไม่มีความเป็นพิษ และมีความปลอดภัยในการนำมาบริโภค ขณะนี้ได้พัฒนาการเพาะเรียบร้อยแล้วเตรียมจะถ่ายทอดสู่เกษตรกรต่อไป

สยามคูโบต้า แจงผลประกอบการแตะ 54,000 ล้านบาท ตั้งเป้าโตเพิ่มขึ้น 5-10%


         ​สยามคูโบต้า ประกาศความสำเร็จ ปี 62 ด้วยยอดขาย 54,000 ล้านบาท ตั้งเป้าปี 63 โตขึ้น 5-10% พร้อมเร่งนำนวัตกรรมเทคโนโลยี IoT เซ็นเซอร์, GPS Telematics และโดรนเพื่อการเกษตรมาบริหารจัดการผลผลิตในภาคเกษตรกรรม ขณะเดียวกันได้วางกลยุทธ์การตลาดแบบ On Your Side ร่วมกับการนำระบบ Omni Channel มาพัฒนาระบบจัดจำหน่าย พร้อมเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่รองรับตลาดพืชที่หลากหลายยิ่งขึ้น มุ่งสร้างนวัตกรรมเกษตรอัจฉริยะ


         นายทาคาโนบุ อาซึมะ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัทสยามคูโบต้าคอร์ปอเรชั่น จำกัด เปิดเผยว่า ในปี 2562 ที่ผ่านมา แนวโน้มการเกษตรทั่วโลกให้ความสำคัญเรื่องเกษตรอัจฉริยะและเกษตรอัตโนมัติ เพื่อแก้ไขปัญหาการขาดแคลนแรงงานภาคเกษตรทั่วโลก คูโบต้า คอร์ปอเรชั่น ญี่ปุ่น ได้มีการคิดค้นนวัตกรรมใหม่ๆ เพื่อช่วยบริหารจัดการฟาร์ม เพิ่มคุณภาพผลผลิต ลดต้นทุน ตลอดจนทำให้การเกษตรเป็นเรื่องที่ง่ายขึ้น ซึ่งสยามคูโบต้า ได้มีการวิจัยและพัฒนาเพื่อปรับใช้ให้เหมาะสมกับประเทศไทยมาอย่างต่อเนื่อง ส่งให้ผลประกอบการในปี 2562 มียอดขาย 54,000 ล้านบาท โดยมีสัดส่วนในประเทศ : ต่างประเทศ เท่ากับ 33,000 ล้านบาท : 21,000 ล้านบาท ด้วยมูลค่ายอดขายในประเทศเติบโตเกือบ 10% จากปีก่อนหน้า สำหรับปี 2563 สยามคูโบต้าตั้งเป้าเติบโตในอัตรา 5-10%


        ทั้งนี้นโยบายของคูโบต้า คอร์ปอเรชั่น มุ่งมั่นเป็นอย่างมากที่จะทำให้แบรนด์คูโบต้า เป็นแบรนด์ชั้นนำระดับโลก หรือ “Global Major Brand (GMB)” ที่ต้องสร้างความเชื่อมั่นในสินค้าและอะกริโซลูชั่นให้กับลูกค้าที่มีทั่วโลก พร้อมเป็นองค์กรที่ตอบแทนสังคม ไม่เพียงแต่จะมุ่งพัฒนาภาคเกษตรและภาคอุตสาหกรรมของไทยและอาเซียน แต่ยังคำนึงถึงความรับผิดชอบที่จะส่งมอบสินค้าที่ตรงกับความต้องการของลูกค้า เพื่อตอกย้ำความเป็นผู้นำนวัตกรรมเกษตรขออาเซียนอย่างแท้จริง


        นายสมศักดิ์ มาอุทธรณ์ กรรมการรองผู้จัดการใหญ่อาวุโส เปิดเผยว่า ปีที่ผ่านมาเกิดสถานการณ์ภัยแล้ง น้ำท่วม ประกอบกับสงครามทางการค้าส่งผลให้ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้น ทำให้ราคาสินค้าเกษตรและราคาผลผลิตปรับตัวลดลง ส่งผลให้ภาพรวมของภาคการเกษตรของไทยมีการผันผวนเล็กน้อย อย่างไรก็ตามผลิตภัณฑ์มวลรวมภาคเกษตร (GDP ภาคเกษตร) เติบโตขึ้น 0.5% จากปีที่ผ่านมาโดยมีพืชเศรษฐกิจหลัก เช่น ข้าว และข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ที่ราคาอยู่ในเกณฑ์ดี อย่างไรก็ตามภาครัฐได้แก้ไขปัญหาโดยการออกนโยบายด้านสินเชื่อ มาตรการประกันรายได้และให้สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำในการซื้อเครื่องจักรเพื่อแก้ปัญหาแรงงานขาดแคลน สำหรับ สยามคูโบต้าก็ได้ให้ความช่วยเหลือเกษตรกรเมื่อเกิดภัยพิบัติอย่างต่อเนื่องเช่นกันจากปัญหาขาดแคลนแรงงาน ทำให้มีการคาดการณ์ว่า แนวโน้มตลาดเกษตรอัจฉริยะจะเติบโตเฉลี่ยประมาณ 19% ต่อปี สยามคูโบต้าจึงได้เร่งพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ เพื่อสนับสนุนภาคการเกษตร ไม่ว่าจะเป็นเทคโนโลยี IoT เซ็นเซอร์ นวัตกรรมการถ่ายภาพที่ส่งให้เกษตรกรได้แบบเรียล ไทม์ (Real Time) ทำให้ติดตามความเปลี่ยนแปลงของพืชที่ปลูก ทำให้รับทราบปัญหาเพื่อแก้ไขได้ทันการณ์ นอกจากนี้ยังมีระบบบริหารจัดการเครื่องจักร อาทิ ระบบ KIS (Kubota Intelligence Solutions) ที่นำ GPS Telematics มาช่วยบริหารจัดการเครื่องจักรได้อย่างมีประสิทธิภาพ สามารถทำเกษตรได้อย่างแม่นยำ (Precision Agriculture) และยังมีการนำโดรนมาใช้ฉีดพ่นสารชีวภัณฑ์ทางการเกษตรแทนแรงงานคน รวมทั้งการจัดการเครื่องจักรกลการเกษตรและอุปกรณ์ต่างๆ ภายในฟาร์มด้วย นอกจากนี้  ยังร่วมมือกับหน่วยงานพันธมิตรจัดโครงการบ่มเพาะสตาร์ทอัพด้านนวัตกรรมการเกษตรระดับนานาชาติ (Global AgTech Acceleration Program) เพื่อพัฒนาภาคการเกษตรให้เป็นเกษตรอัจฉริยะ


     “นอกจากนี้ สยามคูโบต้าเดินหน้าจัดทำโครงการเกษตรปลอดการเผา Zero Burn ที่ร่วมมือกับภาครัฐลดปัญหาที่เกิดจากการเผาของภาคการเกษตรอย่างต่อเนื่อง โครงการเกษตรปลอดนาหว่าน Zero Broadcast ที่ส่งเสริมกลุ่มเกษตรนาแปลงใหญ่ทำเกษตรประณีตด้วยวิธีดำนา และหยอดเมล็ด เพื่อเพิ่มผลผลิต ลดต้นทุนอีกด้วย และในปีนี้สยามคูโบต้าจะเปิดให้บริการ KUBOTA Farm อย่างเต็มรูปแบบ โดยนำแนวคิด KUBOTA (Agri) Solutions หรือ KAS ซึ่งเป็นการจัดการเกษตรกรรมครบวงจรที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะของคูโบต้ามาประยุกต์ใช้จริง ผสานกับนวัตกรรมเกษตรของคูโบต้า เพื่อเป็นฟาร์มสร้างประสบการณ์การเกษตรสมัยใหม่ในภูมิภาคอาเซียน มุ่งยกระดับภาคการเกษตรอาเซียนเพิ่มขีดความสามารถทางด้านการผลิตแบบยั่งยืน” นายสมศักดิ์ กล่าว

       นายพิษณุ มิลินทานุช ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ผู้จัดการทั่วไป สายงานขาย การตลาดและบริการ เปิดเผยว่า กลยุทธ์ทางการตลาดในปีนี้จะมุ่งเน้นให้ลูกค้าเป็นศูนย์กลาง (Customer Centric) โดยสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์และบริการด้วยการมองผ่านมุมมองของลูกค้า รวมถึงการใช้ Big Data สร้างเครือข่ายผู้แทนจำหน่ายและศูนย์บริการ ซึ่งมีอยู่ทั่วประเทศ จำนวนกว่า 400 แห่ง ให้มีความแข็งแกร่ง มีประสิทธิภาพในการทำงาน เพื่อสร้างประสบการณ์ที่ดีให้ลูกค้ารู้สึกว่าแบรนด์คูโบต้าเสมือนเพื่อนที่คอยอยู่เคียงข้าง (On Your Side)
         “นอกจากนี้ได้นำแนวคิด ออมนิ แชนแนล (Omni Channel) มาใช้ในระบบการจัดจำหน่ายมีการเชื่อมโยงลูกค้ารวมเป็นหนึ่งเดียวกัน  โดยผนวกสื่อออนไลน์เข้ากับออฟไลน์ เน้นการทำ Digital Marketing ให้ชัดเจนยิ่งขึ้น เน้นช่องทางการเข้าถึงกลุ่มลูกค้า Smart Farmer ตลอดจนพัฒนาแอปพลิเคชันเวอร์ชั่นใหม่ที่มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ได้แก่ KUBOTA Smart Application สามารถดูข้อมูลสินค้าและกิจกรรมโปรโมชั่นต่างๆ KAS Crop Calendar ปฎิทินเพาะปลูกที่ครอบคลุมทั้ง ข้าว อ้อย มันสำปะหลัง และข้าวโพด นอกจากนี้ยังมีบริการซื้ออะไหล่ออนไลน์ผ่านเว็บไซต์ เพื่อสอดรับความต้องการและไลฟ์สไตล์ของลูกค้าในยุคเกษตร 4.0 อย่างแท้จริง อีกทั้งนำข้อมูลที่ได้กลับมาต่อยอดพัฒนาผลิตภัณฑ์ (Product Solutions) และการให้บริการ (Service Solutions) ที่แม่นยำตอบโจทย์ความต้องการลูกค้าได้แบบครบวงจรตั้งแต่ต้นน้ำไปจนถึงปลายน้ำ และนำเสนอนวัตกรรมเกษตรใหม่ๆ ที่ครอบคลุมการทำเกษตรในกลุ่มพืชที่หลากหลายมากขึ้น เพื่อช่วยเพิ่มรายได้ให้กับเกษตรกรมากกว่าการปลูกพืชเชิงเดี่ยว พร้อมออกแคมเปญการตลาด ภายใต้แนวคิด “Best Companion” ที่จะช่วยกระตุ้นการตัดสินใจซื้อของเกษตรกรได้สบายใจยิ่งขึ้น” นายพิษณุ กล่าวเพิ่มเติม

KUBOTA Farm ฟาร์มสร้างประสบการณ์เกษตรสมัยใหม่ของภูมิภาคอาเซียน

                        
       สยามคูโบต้า นำคณะสื่อมวลชน เยี่ยมชม KUBOTA Farm ฟาร์มสร้างประสบการณ์เกษตรสมัยใหม่ ของภูมิภาคอาเซียน เปิดทั้ง 9 โซน ชูจุดเด่นของ KUBOTA (Agri) Solutions นำนวัตกรรมการเกษตรแบบครบวงจรสร้างประสบการณ์เพาะปลูกด้วยวิธีการเ กษตรสมัยใหม่ หวังให้ KUBOTA Farm เป็นโมเดลนวัตกรรมเกษตรสมัยใหม่ของอาเซียน


        นายสมศักดิ์ มาอุทธรณ์ กรรมการรองผู้จัดการใหญ่อาวุโส เปิดเผยวัตถุประสงค์ในการจัดตั้ง KUBOTA Farm ว่า “จุดเริ่มต้นมาจากเราคำนึงถึงความต้องการของเกษตรกรเป็นหลัก (Customer Centric) มุ่งหวังให้เกษตรกรได้เข้าถึงทุกนวัตกรรมที่ใช้ได้จริง ผ่านการลงมือทำและเห็นด้วยตาตนเอง จึงได้เริ่มพัฒนา คูโบต้า ฟาร์ม ตั้งแต่เดือนมกราคม พ.ศ.2561 ต่อยอดจากแนวคิด KUBOTA (Agri) Solutions หรือ KAS ซึ่งเป็นการจัดการเกษตรกรรมครบวงจรที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะของคูโบต้า ด้วยการใช้เทคนิคการเพาะปลูกผสานเทคโนโลยีและนวัตกรรมเครื่องจักรกลการเก ษตรเข้าด้วยกัน อีกทั้งยังมีระบบจัดการฟาร์มที่ช่วยในการวางแผน ปฏิบัติการ ตรวจสอบ และปรับปรุงแก้ไขในการทำการเกษตร รวมถึงการใช้โดรนฉีดพ่นสารชีวภัณฑ์ทดแทนแรงงานคน โดยนำเสนอเทคโนโลยี loT และ Robot ในการช่วยลดแรงงานและเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานแม่นยำมากขึ้น เพื่อช่วยเกษตรกรในการลดต้นทุน เพิ่มคุณภาพ ผลผลิตและรายได้ ตลอดจนยกระดับและสร้างมาตรฐานเกษตรกรรมเพื่อเพิ่มขีดความสามารถการแข่ง ขันในตลาดโลก และช่วยลดผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้นกับเกษตรกรรวมไปถึงสิ่งแวดล้อม เพื่ออนาคตที่มั่นคงและยั่งยืนของเกษตรกรไทย


       ”KUBOTA Farm เป็นฟาร์มสร้างประสบการณ์จริงในการเพาะปลูกพืชด้วยวิธีการเกษตรสมัยใหม่ ให้ความรู้และเน้นการปฏิบัติจริงในการทำการเกษตรเต็มรูปแบบแห่งแรกในอาเซีย น มีเนื้อที่กว่า 220 ไร่ ถูกออกแบบภายใต้แนวคิด End to End Solutions ที่มีออกแบบและติดตั้งระบบจัดการฟาร์มด้วย IoT (Internet of Things) มาใช้ในระบบบริหารจัดการเครื่องจักรกลการเกษตร โดยคาดว่าจะแล้วเสร็จสมบูรณ์ต้นเดือนสิงหาคมนี้ เพื่อเป็นการเปิดโอกาสให้ผู้ที่สนใจด้านการเกษตรได้รู้จักและทดลองใช้งานนวัตกร รมเครื่องจักรกลการเกษตรอันทันสมัยของสยามคูโบต้า โดยมีโซนต่างๆ ดังนี้ 1. โซนให้คำปรึกษาเกษตรครบวงจร ซึ่งจะเป็นโซนแนะนำการทำเกษตรแบบครบวงจรของสยาม คูโบต้าและให้คำปรึกษาเกี่ยวกับการทำเกษตร 2. โซนเกษตรแม่นยำข้าวและพืชหลังนา การนำนวัตกรรมต่างๆ เข้ามาใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพให้การ ทำเกษตรมีความแม่นยำมากยิ่งขึ้น ซึ่งในโซนนี้ สยามคูโบต้ามุ่งนำเสนอ 5 เรื่องสำคัญ ได้แก่ 2.1. Zero Broadcast (โครงการปลอดนาหว่าน) โดยแสดงตัวอย่างด้วยการส่งเสริม 3 วิธีด้วยกัน คือ การปักดำ การหยอดน้ำตม และ การหยอดข้าวแห้ง 2. KAS Crop Calendar ปฏิทินการเพาะปลูก 3. Zero Burn (โครงการเกษตรปลอดการเผา) โดยแนะนำวิธีการและนวัตกรรมเกษตรต่าง ๆ ที่เหมาะสมในการลดการเผาหลังจากเก็บเกี่ยว 4. การปลูกพืชหลังนาเพิ่มรายได้ โดยส่งเสริมให้เกษตรกรปลูกพืชหลังนา เช่น ข้าวโพด ถั่วเหลือง หรือ ถั่วเขียว 5. การใช้เทคโนโลยีช่วยเพิ่มผลผลิตในข้าว ด้วยเครื่องจักรกลอัจฉริยะอย่าง KUBOTA Intelligent Solutions (KIS) ซึ่งคือ ระบบ GPS telematics ที่จะมาช่วยให้สามารถระบุพิกัดของเครื่องจักรกลคูโบต้าและสามารถดึงข้อมูลรายงานออกมาให้เกษตรกรพัฒนาประสิทธิภาพการทำเกษตรได้ รวมทั้งยังมีการสาธิตการใช้งานโดรนเพื่อการเกษตร ระบบควบคุมทิศทางอัตโนมัติ ตลอดจนสถานีวัดสภาพอากาศ ส่งเสริมให้เกษตรกรรวมกลุ่มกันบริหารเครื่องจักรกลอย่างมีประสิทธิภาพ 


         3. โซนเกษตรสมัยใหม่พืชไร่ แสดงรูปแบบการเพาะปลูกอ้อย มันสำปะหลัง และข้าวโพดด้วยเครื่องจักรกลการเกษตรครบวงจรในทุกขั้นตอนการเพาะปลูก เทคนิคการลดต้นทุน เพิ่มผลกำไร ด้วยโซลูชั่นเกษตรครบวงจร แนะแนวทางการจัดการน้ำ เทคนิคการปลูกอ้อยน้ำน้อย การปรับระดับดินตามแนวความลาดชันด้วยเลเซอร์ ตลอดจนแนะนำวิธีการและนวัตกรรมเกษตรต่างๆ ที่เหมาะสมในการลดการเผาหลังจากเก็บเกี่ยว (Zero Burn) 4. โซนเกษตรทฤษฎีใหม่ ที่น้อมนำแนวพระราชดำริในการบริหารจัดการพื้นที่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด ด้วยเครื่องจักรกลการเกษตรคูโบต้า และนำเสนอเทคโนโลยีที่ช่วยพัฒนารูปแบบการเกษตรสมัยใหม่ เช่น ระบบน้ำสั่งการด้วย Smart Device เทคโนโลยีวัดความหวานเพื่อเพิ่มมูลค่า เทคโนโลยีเครื่องปลูกผักกึ่งอัตโนมัติ เทคโนโลยีเตรียมแปลงปลูกผัก เทคโนโลยีเพาะกล้าผัก และการปลูกพืชในโรงเรือน มุ่งเน้นการบริหารจัดการให้สร้างรายได้เป็นแบบรายวัน รายสัปดาห์ รายเดือน เป็นต้น 5. โซนก่อสร้าง นำเสนอโซลูชั่นเครื่องจักรกลสำหรับธุรกิจรับเหมาก่อสร้างและการเกษตร แบบมืออาชีพ การขุดบ่อน้ำขนาดเล็ก เพื่อช่วยบรรเทาความเดือดร้อนเมื่อประสบปัญหาน้ำท่วม หรือภัยแล้ง 6. โซนวิจัยเกษตรโซนปาล์มน้ำมัน ยางพารา และผลไม้ นำเสนอรูปแบบการเพาะปลูกเพื่อลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพการทำงา นด้วยเทคโนโลยีเครื่องจักรกลการเกษตรคูโบต้า และการสร้างรายได้จากการปลูกพืชเสริมในร่อง หรือแถวระหว่างต้น 7. โซนวิจัยเกษตรครบวงจร วิจัยและพัฒนาโซลูชั่นเกษตรครบวงจรด้วยนวัตกรรมเกษตร รวมถึงการวิจัยเพื่อพัฒนาคุณภาพดิน ร่วมกับกรมพัฒนาที่ดิน 8. โซนอบรมเกษตรครบวงจร พื้นที่ถ่ายทอดองค์ความรู้เกษตรครบวงจรให้กับเกษตรกรและผู้สนใจ เพื่อให้เกิดทักษะและนำกลับไปใช้พัฒนาในพื้นที่ของตนเองได้ 9. โซนสร้างประสบการณ์เทคโนโลยีเครื่องจักรกลการเกษตรคูโบต้า พื้นที่สำหรับทดลองใช้และเลือกเทคโนโลยีเครื่องจักรกลการเกษตรคูโบต้า ที่เหมาะสมกับการเพาะปลูกของเกษตรกร


          “ซึ่งเราคาดหวังว่าเกษตรกร หรือผู้เข้าเยี่ยมชมจะเกิดการเรียนรู้และมีประสบการณ์จริง ได้มีโอกาสทดสอบ ทดลองด้วยตนเอง เห็นถึงประโยชน์ที่จะได้รับหากใช้เครื่องจักรกลการเกษตรร่วมกับโซลูชั่นองค์ความ รู้ของสยามคูโบต้า เพื่อเป็นข้อมูลในการตัดสินใจซื้อเครื่องจักรกลการเกษตรในอนาคต ที่มุ่งสร้างประสบการณ์ที่ดีให้ลูกค้ารู้สึกว่าแบรนด์คูโบต้าเสมือนเพื่อนที่คอยอยู่เคียง ข้าง ตามแนวคิด On Your Side พร้อมตั้งเป้าพัฒนา KUBOTA Farm ให้เป็นโมเดลนวัตกรรมเกษตรสมัยใหม่ของอาเซียน มุ่งยกระดับภาคการเกษตรอาเซียนเพิ่มขีดความสามารถทางด้านการผลิตแบบยั่งยืน โดยที่ผ่านมามีคณะจากหน่วยงานราชการ องค์กรพันธมิตรและเกษตรกรจากทั่วประเทศและในอาเซียนให้ความสนใจเข้าร่วมศึกษาดูงานแล้วกว่า 7,700 ราย ซึ่งในอนาคตคาดว่าจะมีผู้เข้าเยี่ยมชมมากกว่า 10,000 รายในแต่ละปี” นายสมศักดิ์ กล่าวปิดท้าย 

วันพฤหัสบดีที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2563

แล้งนี้ เกษตรฯ แนะเกษตรกรปลูกถั่วเหลืองฝักสด อายุสั้น ใช้น้ำน้อย ราคาดี มีตลาดแน่นอน



กรมส่งเสริมการเกษตรหนุนเกษตรกรหันมาปลูกถั่วเหลืองฝักสดแบบแปลงใหญ่ ปลูกง่าย อายุสั้น ใช้น้ำน้อย ราคาดี มีตลาดแน่นอน อีกทางเลือกสำหรับปลูกทดแทนนาปรัง กลุ่มเกษตรกรหยิบเงินล้านต่อฤดูกาล
นายเข้มแข็ง ยุติธรรมดำรง อธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตร กล่าวว่า จากปัญหาภัยแล้งที่ประเทศไทยกับเผชิญอยู่ ทำให้เกิดข้อจำกัดในการทำการเกษตรซึ่งต้องใช้น้ำ ประกอบกับกรมส่งเสริมการเกษตรได้ตระหนักและให้ความสำคัญกับการส่งเสริมการเกษตรตามระบบแปลงใหญ่ที่ใช้หลักการตลาดนำการผลิต โดยสนับสนุนให้เกษตรกรมีการรวมกลุ่ม บริหารจัดการร่วมกัน และรวมกันจำหน่าย โดยมีตลาดรองรับที่แน่นอน ส่งผลให้เกษตรกรสามารถลดต้นทุนการผลิต ได้ผลผลิตเพิ่มขึ้น และมีคุณภาพได้มาตรฐาน รวมถึงให้เกษตรกรสามารถเป็นผู้จัดการ บริหารจัดการผลิต ผลผลิต และการตลาดได้ด้วยตนเอง กรมส่งเสริมการเกษตรจึงได้จัดงานวันเก็บเกี่ยวถั่วเหลืองฝักสดแปลงใหญ่ขึ้น ในวันที่ 29 มกราคม 2563 ณ โรงเรียนบ้านดงประดาพระ หมู่ที่ 1 ตำบลเขากวางทอง อำเภอหนองฉาง จังหวัดอุทัยธานี เพื่อสร้างการรับรู้และถ่ายทอดเทคโนโลยีด้านการผลิตและการตลาดของถั่วเหลืองฝักสดแบบแปลงใหญ่ให้กับเกษตรกร รวมถึงเชื่อมโยงการผลิตและการตลาดระหว่างเกษตรกรและภาคเอกชน ซึ่งภายในงานประกอบด้วยการบรรยายพิเศษให้ความรู้เรื่องการปลูกถั่วเหลืองฝักสด และการจัดนิทรรศการให้ความรู้ของภาครัฐและเอกชน เพื่อให้เกษตรกรที่สนใจได้เข้ามาศึกษาเรียนรู้ และนำความรู้ที่ได้ไปปรับใช้ต่อไป


สำหรับถั่วเหลืองฝักสดจังหวัดอุทัยธานี มีความโดดเด่นเฉพาะตัวในด้านรสชาติ คือ มีความหอม หวาน อร่อย เนื่องด้วยสภาพภูมิอากาศ ที่เอื้ออำนวยในการเพาะปลูก ซึ่งเดิมเกษตรกรจะปลูกปีละ 1 ครั้ง ในช่วงเดือนพฤศจิกายนถึงมีนาคม แต่ปัจจุบันได้ปลูกเพิ่มอีกในช่วงเดือนมิถุนายนถึงกันยายน เพื่อรองรับความต้องการของตลาดที่เพิ่มสูงขึ้น โดยในปี 2563 จังหวัดอุทัยธานีมีพื้นที่ปลูกถั่วเหลืองฝักสดประมาณ 6,500 ไร่ เพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมากว่า 2,500 ไร่ และได้รับการส่งเสริมให้เป็นเกษตรแปลงใหญ่ประมาณ 4,800 ไร่ สมาชิก จำนวน 270 ราย ซึ่งนอกจากจะช่วยในเรื่องของต้นทุนการผลิตแล้ว ยังสามารถแก้ไขปัญหาดินเสื่อมโทรมจากการทำนาปีละ 2 - 3 ครั้ง และปัญหาด้านราคาผลผลิตที่ตกต่ำได้อีกด้วย เนื่องจากถั่วเหลืองฝักสดเป็นพืชหมุนเวียนที่เหมาะสมกับสภาพภูมิศาสตร์ เป็นพืชอายุสั้น ให้ผลผลิตสูง ราคาดี และมีตลาดรองรับอย่างแน่นอน


อธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตร กล่าวอีกว่า การส่งเสริมการปลูกถั่วเหลืองฝักสดเป็นการทำงานเชิงบูรณาการในลักษณะประชารัฐ ประกอบด้วย เกษตรกร ภาครัฐ และเอกชน ร่วมกันบริหารจัดการถั่วเหลืองฝักสด (ถั่วแระญี่ปุ่น) อายุการเก็บเกี่ยวสั้นประมาณ 68 - 70 วัน ใช้น้ำน้อยเพียง 300 ลูกบาศก์เมตรต่อไร่ ในขณะที่ข้าวนาปรังจะมีอายุเก็บเกี่ยว 120 วัน และใช้น้ำมากกว่าถึง 5 เท่าตัว หรือประมาณ 1,500 ลูกบาศก์เมตรต่อไร่ อีกทั้งถั่วเหลืองฝักสดยังมีตลาดรองรับที่แน่นอนจากบริษัทที่ทำสัญญารับซื้อไว้แล้วล่วงหน้า นั่นคือการใช้หลักการตลาดนำการผลิต ทำให้เกษตรกรผู้เข้าร่วมโครงการไม่ประสบปัญหาด้านรายได้ โดยคาดว่าปีนี้ถั่วเหลืองฝักสดของจังหวัดอุทัยธานีจะให้ผลผลิตทั้งหมด 5,760 ตัน คิดเป็นมูลค่าด้านเศรษฐกิจประมาณ 97 ล้านบาทต่อฤดูกาล ซึ่งสามารถสร้างงานสร้างรายได้ให้กับคนในชุมชนได้ประมาณ 1.2 ล้านบาท

จินดาสมุนไพร เปิดตัวผลิตภัณฑ์เพื่อเส้นผมใหม่ แชมพู ครีมนวด และทรีทเม้นท์



จินดาสมุนไพร ได้เปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่เพื่อเส้นผมออกมา 3 ชนิด ตอบโจทย์ผู้บริโภคที่นิยมผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ มี ผลิตภัณฑ์แชมพูสมุนไพร ครีมนวดสมุนไพร สูตรอโวคาโด ใบหมี่สด และมีทรีทเม้นท์บำรุงเส้นผม 2 กลิ่นหอมใหม่ มีสูตรน้ำมันมะพร้าว และ สูตรน้ำมันมะกอก ผสมผสานด้วยใบหมี่สด ที่ช่วยบำรุงเส้นผมให้มีน้ำหนัก ผมหอม นุ่ม ตลอดวัน


นายไชยกร นิธิคณาวุฒิ ประธานกรรมการบริษัทจินดาสมุนไพรจำกัด เปิดเผยว่า สำหรับผลิตภัณฑ์ใหม่นี้ จินดาสมุนไพร เน้นวัตถุดิบจากธรรมชาติมาเป็นส่วนประกอบหลักอย่างใบหมี่สด ซึ่งจินดาสมุนไพรมีสวนสมุนไพรใบหมี่อยู่แล้ว สำหรับใบหมี่เป็นต้นไม้ที่อยู่ตามหัวไร่ปลายนา เป็นไม้ยืนต้น ใบมีกลิ่นฉุน ส่วนที่ใช้ประโยชน์ทางยาและเครื่องสำอางของใบหมี่ คือ ราก เปลือกต้น ใบ เมล็ด และยาง  สำหรับอโวคาโด นั้นเป็นเป็นผลไม้ที่นิยมรับประทานกันมากในแถบยุโรปและอเมริกา มีสารอาหาร วิตามินอี และแร่ธาตุหลากหลายที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพอย่างมาก อีกทั้งอโวคาโดมีปริมาณไขมันชนิดดีค่อนข้างเยอะและมีไขมันที่สำคัญกับเซลล์ผิวหนังของเราเป็นอย่างยิ่งโดยเฉพาะคนที่มีผิวแห้งกร้าน สามารถนำไขมันของอโวคาโดมาบำรุงผิวพรรณ เส้นผม หนังศีรษะให้กลับมานุ่มชุ่มชื้นได้ง่ายๆ จินดาสมุนไพรจึงได้นำเข้ามาเป็นส่วนผสมหลักในผลิตภัณฑ์แชมพู ครีมนวด สูตรอโวคาโดใบหมี่สด พร้อมวางตลาดให้กับลูกค้าจินดาสมุนไพรได้ช้อปปิ้งกันแล้ว นอกจากนี้ จินดาสมุนไพรยังได้ออกผลิตภัณฑ์ใหม่ ทรีทเม้นท์สูตรน้ำมันมะพร้าวและสูตรน้ำมันมะกอก ที่ช่วยบำรุงเส้นผมให้เงางาม มีน้ำหนักจัดทรงง่าย ใช้ได้กับทุกสภาพเส้นผม ทุกเพศ ทุกวัย อีกด้วย



สำหรับแผนการตลาดนั้น จินดาสมุนไพร ได้วางจำหน่ายผลิตภัณฑ์ทั้งหมดในประเทศ ผ่านตัวแทนจำหน่ายที่เป็นร้านสมุนไพร ร้านเพรียวในบิ๊กซี รวมถึง 7-11 ส่วนตลาดต่างประเทศมีที่ลาว พม่า กัมพูชา และรัสเซีย อีกทั้งยังได้เพิ่มช่องทางตลาดออนไลน์อย่าง ลาซาด้า เป็นการเพิ่มความสะดวกให้กับลูกค้าได้มากขึ้นอีกช่องทางหนึ่งด้วย  สนใจสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมผลิตภัณฑ์ได้ โทรศัพท์ 089 068 7805 , 02 987 1389-90

วันพุธที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2563

"เกษตร 2020 เข้าสู่ยุคปฏิรูปการวิจัยและพัฒนา"



ปัจจุบันเรากำลังอยู่ท่ามกลางแรงกดดันและโอกาสจาก 1.โลกาภิวัต เศรษฐกิจยังตกต่ำเมื่อเทียบกับหลายปีที่ผ่านมา ค้าขายรายย่อยแบบดั้งเดิมทำยากขึ้น แต่เศรษฐกิจค้าขายออนไลน์กำลังเติบโต 2. การท่องเที่ยว วิถีธรรมชาติและชุมชนกำลังเติบโต ขายความงามของธรรมชาติ+วิถีเกษตร+สินค้าชุมชน ตลาดนัดชุมชน ร้านอาหารกลางทุ่งนา เขา ป่า ทะเล และ มีจุดถ่ายรูปที่สวยงาม 3. ราคาสินค้าตกต่ำ ยางตกต่ำ เศรษฐกิจภาคใต้ซบเซา เงินหายไปจากระบบ 5,000 ล้านบาทในทุกๆราคายางที่ลดลง 1 บาท ถ้าคิดจาก 80 ลงมา 40 บาท เงินหายไป 2 แสนล้านบาท


จากนี้ไปการเกษตรจะมีการเปลี่ยนแปลงปรับปรุงขึ้นเรื่อยๆตามยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี และหลายๆองค์กรก็ได้ปรับตัวเองในการทำงาน กระทรวงเกษตร มีประเด็นการพัฒนาที่น่าสนใจ คือ
1. การออกมาตรการอุดหนุนเกษตรกร ไม่ว่าจะให้เงินในรูปแบบใดๆ ก็เป็นผลดีในการช่วยลดต้นทุน เพิ่มรายได้แก่เกษตรกร
2. โครงการส่งเสริมการเกษตร เช่น แปลงใหญ่ zoning by agrimap เกษตรยั่งยืน และอื่นๆ จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต
3. โครงการพัฒนาฐานข้อมูลด้านการเกษตรแห่งชาติ หรือ National Agricultural Big Data เพื่อต้องการเชื่อมโยงและบูรณาการฐานข้อมูลภาคการเกษตรอย่างครบวงจรระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งหมด ตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ ของระบบการผลิตด้านการเกษตร ตลอดห่วงโซ่อุปทาน 13 สินค้า ประกอบด้วย 1) ข้าว 2) ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ 3) สับปะรดโรงงาน 4) มันสำปะหลังโรงงาน 5) อ้อยโรงงาน 6) ยางพารา 7) ปาล์มน้ำมัน 8) ลำไย 9) เงาะ 10) มังคุด 11) ทุเรียน 12) มะพร้าว และ 13) กาแฟโดย สามารถเข้าใช้งานได้ที่ bigdata.oae.go.th
4. จัดตั้งศูนย์เทคโนโลยีเกษตรและนวัตกรรม (Agri-technology and innovation center: AIC) บูรณาการร่วมกันใน 6 ภาคี คือ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงอุตสาหกรรม ภาคเกษตรกร ภาควิชาการ และภาคเอกชน ซึ่งมีรูปแบบโครงสร้างเป็นแบบ 1 จังหวัด 1 ศูนย์ รวม 77 จังหวัด ซึ่งจะตั้งอยู่ที่มหาวิทยาลัยที่ได้รับการคัดเลือก โดยมีรูปแบบเป็น Center Excellent เน้นการส่งเสริมเทคโนโลยีเกษตรสิ่งประดิษฐ์ นวัตกรรม ในรูปแบบต่าง ๆโดยใช้ฐานข้อมูลเดิมที่มีอยู่ ผสมผสานระหว่างภูมิปัญญาท้องถิ่นและเทคโนโลยีเข้าด้วยกัน มีการรวบรวม ช่างเกษตร ปราชญ์เกษตร ซึ่งเป็นเกษตรกรต้นแบบตัวอย่างที่ประสบความสำเร็จในการใช้เทคโนโลยีที่เป็นภูมิปัญญาท้องถิ่นและผสมผสานเทคโนโลยีสมัยใหม่ เน้นการบริหารจัดการในพื้นที่แปลงใหญ่ ดึง Smart และ Young Smart Farmer เข้าร่วม เสริมความรู้ e-commerce รวมถึงมาตรการ กฎระเบียบการรับรองต่างๆ


ด้านการวิจัยและพัฒนาการเกษตรของชาติและกระทรวงเกษตร 1. การปฎิรูปการวิจัยโดยการตั้งกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและ นวัตกรรม รวมถึงปรับระบบการให้ทุนวิจัย การปรับบทบาทหน่วยให้ทุน เรื่องนี้จะผลักดันให้หน่วยงานและนักวิจัยต้องปรับการวิจัยให้สอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาประเทศ และที่สำคัญ ต่อไปนี้การวิจัยต้องคิดถึงใครจะใช้ประโยชน์ผลวิจัยอย่างเป็นรูปธรรม จับต้องได้ เป็นอันดับแรก
2. หน่วยงานวิจัยของกระทรวงเกษตร เช่น กรมวิชาการเกษตร กรมประมง กรมปศุสัตว์ และอื่นๆ ก็จะต้องมีการปรับการทำงานวิจัย ซึ่งปรากฏการณ์ที่กรมวิชาการเกษตรถูกตัดงบ 50% ย่อมทำให้การวิจัยของกระทรวงเกษตรอ่อนแอลงไปมาก เนื่องจากหลายสิบปีที่ผ่านมาต้องยอมรับว่าผลงานวิจัยของกรมวิชาการได้สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจได้มาก ดังนั้นทุกหน่วยวิจัยต้องปฏิรูปตัวเองทั้งในโจทย์วิจัย การทำวิจัยร่วมกับผู้มีส่วนได้เสียตลอดห่วงโซ่ และการขับเคลื่อนผลวิจัยสู่การส่งเสริม กระทรวงเกษตรจะต้องออกแบบระบบวิจัย-ส่งเสริมให้เชื่อมโยงรองรับกันภายในกระทรวง
3. เกษตรกร ผู้รวบรวมสินค้า ผู้ขาย และ ผู้บริโภค คือผู้มีส่วนได้เสียในองค์รวมของภาคเกษตร มีแรงดึงของผู้บริโภคที่มีอิทธิพลสูงสุดที่คอยดึงแต่ละภาคส่วนให้เคลื่อนตาม กระแสอาหารปลอดภัยและโภชนเภสัชมาแรง กินอาหารได้ยา สุดท้ายเกษตรกรก็ต้องปรับตัวไปตามตลาดให้ได้


4. สภาพภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลง แรงงานที่น้อยลง ผู้มีความรู้สนใจมาทำเกษตร และสังคมกดดันผลกระทบต่อด้านสิ่งแวดล้อม จะผลักดันให้เกิดการพัฒนาเทคโนโลยีสมัยใหม่ ที่จะเอาชนะอุปสรรคต่างๆเหล่านี้ เช่น เกษตรโรงเรือน เกษตรอัจฉริยะที่ใช้กลไกอิเลคโทรนิคมาช่วยควบคุม การใช้เครื่องจักรกลแบบประเทศที่พัฒนาแล้ว การจัดการปัจจัยการผลิต ดิน น้ำ ปุ๋ย พืช ศัตรูพืช ด้วยความรู้
บทสรุป เกษตร 2020 จะเป็นการเติบโตท่ามกลางภาวการณ์คุกคามของโลกาภิวัต เอาชนะภัยธรรมชาติ และการโหยหาความมีความสุขและสุขภาพดี และคำตอบได้บอกไว้แล้วว่าทางรอด คือ ความรู้ หรือนวัตกรรม หรือเทคโนโลยี 5 G แต่ผมยังเชื่อในเรื่องสมดุลของสรรพสิ่ง นั่นคือเกษตรวิถีดั้งเดิมที่สร้างผลิตภัณฑ์ด้วยวิถีบริสุทธ์ของธรรมชาติและความงดงามของความเป็นชุมชนท้องถิ่นจะยังคงอยู่ตลอดไป
เรียบเรียงโดย ธัชธาวินท์ สะรุโณ
https://tattawin.wordpress.com/%e0%b9%80%e0%b8%81%e0%b8%a9%e0%b8%95%e0%b8%a3-2020-%e0%b9%80%e0%b8%82%e0%b9%89%e0%b8%b2%e0%b8%aa%e0%b8%b9%e0%b9%88%e0%b8%a2%e0%b8%b8%e0%b8%84%e0%b8%9b%e0%b8%8f%e0%b8%b4%e0%b8%a3%e0%b8%b9%e0%b8%9b/

กรมส่งเสริมการเกษตรจัด Kick Off รณรงค์สร้างวินัยหยุดเผาในไร่นาลดฝุ่น PM 2.5 ที่ จ.นครปฐม



กรมส่งเสริมการเกษตรจัด Kick Off รณรงค์ส่งเสริมการหยุดเผาในพื้นที่การเกษตร ดึงชุมชนมีส่วนร่วมสร้างจิตสำนึก และนำวัสดุเหลือใช้ไปทำประโยชน์ หวังลดฝุ่นพิษ PM 2.5 เข้าชุมชนเมือง วันที่ 28 ม.ค.นี้ ณ ศพก.นครชัยศรี จ.นครปฐม


            นายเข้มแข็ง ยุติธรรมดำรง อธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตร เปิดเผยว่า ปัญหาการเผาในที่โล่งทั้งในพื้นที่การเกษตรและพื้นที่ป่าได้ส่งผลกระทบต่อสุขอนามัยของประชาชนและเศรษฐกิจเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะการเกิดฝุ่นมลพิษ หรือ PM 2.5 ในเขตชุมชนเมืองและอีกหลายพื้นที่รอบปริมณฑล ดังนั้น เพื่อเสริมสร้างความรู้ ความเข้าใจให้เกษตรกรได้ตระหนักถึงผลกระทบจากการเผาในไร่นาทั้งตอซังฟางข้าว ใบข้าวโพด และใบอ้อย กรมส่งเสริมการเกษตรจึงได้กำหนดจัดงาน รณรงค์หยุดเผาในพื้นที่การเกษตรหรือ Kick Off จุดแรก วันที่ 28 มกราคม 2563 ณ ศูนย์เรียนรู้การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตสินค้าเกษตร (ศพก.) บ้านแหลมบัว หมู่ 8 ตำบลแหลมบัว อำเภอนครชัยศรี จังหวัดนครปฐม และเร่งสร้างการรับรู้ให้เกษตรกรรับทราบ โดยรณรงค์เพื่อส่งเสริมการหยุดเผาในพื้นที่เกษตรขยายผลเพิ่มอีก 42 จังหวัด รวมทั้งเป็นการเสริมสร้างองค์ความรู้และจิตสำนึกของเกษตรกรให้ตระหนักถึงปัญหาดังกล่าว การสร้างความเข้มแข็งของเครือข่ายเกษตรกรในพื้นที่ ศพก. ซึ่งเป็นต้นแบบก่อนขยายผลไปสู่เกษตรกรรายอื่น ๆ ในชุมชน ให้สามารถลดปัญหาการเผาในพื้นที่เกษตรด้วยการใช้เทคโนโลยีทดแทนการเผาและอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมให้สามารถทำการเกษตรได้อย่างยั่งยืนต่อไป


กิจกรรมภายในงาน ประกอบด้วย การบรรยายความรู้และภาพรวมกิจกรรมของ ศพก. นครชัยศรี โดยนายณรงค์ กลิ่นถือศีล ประธาน ศพก.อำเภอนครชัยศรี จังหวัดนครปฐม การให้ความรู้แก่เกษตรกรโดยการจัดนิทรรศการและการสาธิตเทคโนโลยีการจัดการวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตรของหน่วยงานต่างๆ ได้แก่ สาธิตการไถกลบตอซังและฟางข้าว โดยบริษัท คูโบต้า จำกัด สาธิตการอัดฟางก้อน โดย ศพก.นครชัยศรี สาธิตการเพาะเห็ดฟางในตะกร้า และการทำน้ำหมักจุลินทรีย์ย่อยสลายฟาง นอกจากนี้ ยังมีการบรรยายพิเศษเรื่อง ฝุ่น PM 2.5 โดยสำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม จังหวัดนครปฐม และการบรรยายพิเศษเรื่อง เตาชีวมวล เตาเผาถ่าน โดยสำนักงานพลังงาน จังหวัดนครปฐม มีเกษตรกรเข้าร่วมงานกว่า 300 ราย


สำหรับการไถกลบตอซังและฟางข้าวจะช่วยคลุกเคล้าปรับปรุงบำรุงดิน ช่วยย่อยสลายและเพิ่มอินทรียวัตถุ เพิ่มธาตุอาหารให้กับพืช ถือเป็นการช่วยลดต้นทุนไม่ต้องซื้อปุ๋ยเคมีมากขึ้น นอกจากนี้ การอัดฟางก้อนก็มีประโยชน์เกษตรกรสามารถสร้างรายได้จากการขายฟ่อนฟางเพื่อนำไปใช้เพาะเห็ด หรือเป็นอาหารสัตว์ช่วยเพิ่มรายได้อีกทางหนึ่ง จึงอยากจะฝากไปถึงเกษตรกรที่ยังเผาวัสดุการเกษตรของตนเอง ก็เหมือนกับการสูบบุหรี่ที่เป็นการเผาตัวเอง เผาปอดและสุขภาพของคนที่ตนเองรัก และต้องระวังโทษตามกฎหมายด้วย ดังนั้น ขอเชิญชวนมาร่วมรณรงค์หยุดเผาในพื้นที่การเกษตร และปฏิบัติตามคำแนะนำที่ถูกต้องของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ถือเป็นการช่วยรักษาสิ่งแวดล้อม รักษาความชื้นในดิน ลดภาวะโลกร้อน และลดปัญหาฝุ่นหมอกควัน 
ด้าน นายบุญเลี้ยง ข่ายม่าน เกษตรจังหวัดนครปฐม กล่าวถึง วัตถุประสงค์ของการจัดงานรณรงค์หยุดเผาในพื้นที่การเกษตรว่า ต้องการส่งเสริมการมีส่วนร่วมของชุมชนเกษตรเพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหาการเผาในพื้นที่ ด้วยการถ่ายทอดความรู้แก่เกษตรกรและนำเสนอทางเลือกให้เกษตรกรปรับเปลี่ยนวิธีการเพื่อลดการเผา เมื่อเกษตรกรหยุดเผาในพื้นที่การเกษตรแล้วก็จะได้สิ่งดี ๆ 5 อย่างคือ อากาศดี สุขภาพดี เศรษฐกิจดี สิ่งแวดล้อมดี และได้ปุ๋ยดีจากธรรมชาติ โดยการจัดงานครั้งนี้จะนำผู้เข้าร่วมกิจกรรมกล่าวคำสัตยาบันของเครือข่ายเกษตรปลอดการเผา จังหวัดนครปฐม เพื่องดเว้นการเผาโดยเด็ดขาด รวมทั้งเฝ้าระวัง และสนับสนุนการดำเนินการแก้ไขปัญหาการเผาและหมอกควันในท้องที่จังหวัดนครปฐม ตลอดจนนำเทคโนโลยีที่เหมาะสมในการจัดการวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตร เผยแพร่ความรู้สู่ชุมชนต่อไป

วันอังคารที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2563

ช.การช่าง จับมือสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ ชู 10 ผลงานสิ่งประดิษฐ์สุดล้ำ พร้อมต่อยอดจากท้องถิ่นสู่ระดับประเทศ



บริษัท ช.การช่าง จำกัด (มหาชน) ร่วมกับสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) หรือ NIA และสถาบันเชนจ์ฟิวชั่นจัดพิธีมอบรางวัลสุดยอดนวัตกรรมช่างชุมชนพร้อมเปิดตัว 10 ผลงานสิ่งประดิษฐ์และนวัตกรรมเพื่อแก้ไขปัญหาชุมชน เพื่อรับทุนพัฒนาสิ่งประดิษฐ์มูลค่ารวมกว่า 600,000 บาท พร้อมรับคำปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญและโอกาสขอรับทุนสนับสนุนจากภาครัฐ นอกจากนี้ ยังมีกิจกรรมเวิร์ค  ช็อปการพัฒนาแนวคิดนวัตกรรมช่างชุมชน แบบ 4 มิติ (การออกแบบ, กลไกและวิศวกรรม, ต้นทุนราคา, การทำการตลาด) เพื่อยกระดับศักยภาพสู่การเป็น นวัตกรช่างชุมชนและขยายผลสู่ระดับประเทศ นับเป็นโครงการความร่วมมือครั้งแรกของประเทศไทยระหว่างหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และชุมชนท้องถิ่น   เพื่อส่งเสริมช่างชุมชนอย่างเป็นรูปธรรมและครบวงจร บนแนวคิดของการแก้ไขปัญหาทางสังคมด้วยกระบวนการคิดเชิงออกแบบ (Design Thinking) โดยนำเอาต้นแบบสิ่งประดิษฐ์ของช่างชุมชนมาต่อยอด ผ่านการให้คำปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญและโอกาสเข้าถึงทรัพยากรในด้านต่างๆ ทั้งการออกแบบผลิตภัณฑ์ เทคนิคทางวิศวกรรม การบริหารจัดการธุรกิจ และการเชื่อมโยงความร่วมมือเพื่อพัฒนานวัตกรรมกับหน่วยงานภาครัฐ


ดร.สุภามาส ตรีวิศวเวทย์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ช.การช่าง จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ช.การช่าง มีความภูมิใจที่ได้เห็นการดำเนิน โครงการส่งเสริมนวัตกรรมช่างชุมชนร่วมกับพันธมิตรอย่างสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) และสถาบันเชนจ์ฟิวชั่น ได้เดินหน้าอย่างแข็งแกร่งมาจนถึงวันนี้ ซึ่งเราได้เห็นผลงานต่างๆ จากความคิดสร้างสรรค์และความสามารถคนไทยในชุมชนต่างๆ ทั่วประเทศ ที่มีทั้งศักยภาพและมีโอกาสที่จะนำมาต่อยอด ขยายขีดสามารถจากการใช้แก้ปัญหาของพื้นที่ในแต่ละท้องถิ่นมาประยุกต์ใช้งานในบริบทที่กว้างขึ้น เราพร้อมอย่างยิ่งที่จะมีส่วนร่วมในการสนับสนุนเงินทุนและการถ่ายทอดองค์ความรู้และเทคนิคต่างๆ โดยเฉพาะในด้านวิศวกรรมให้แก่ช่างชุมชนที่เข้าร่วมโครงการ เพื่อการพัฒนานวัตกรรมที่ก่อให้เกิดคุณค่าต่อสังคม ชุมชน เศรษฐกิจและสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืนสอดคล้องกับพันธกิจของ ช. การช่าง ที่มุ่งยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้คนและพัฒนาประเทศผ่าน โครงสร้างพื้นฐานและการคำนึงถึงประโยชน์ของส่วนรวมเป็นหลัก และมีความมุ่งมั่นเดินหน้าสานต่อโครงการดีๆ แบบนี้ต่อไปอย่างต่อเนื่องในอนาคต


ด้าน ดร.พันธุ์อาจ ชัยรัตน์ ผู้อำนวยการสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน)หรือ NIA กล่าวว่า การจัด โครงการส่งเสริมนวัตกรรมช่างชุมชนเป็นอีกหนึ่งบทพิสูจน์ให้เห็นว่าคนไทยในท้องถิ่นทั่วประเทศล้วนมีทักษะในด้านนวัตกรรมและกระบวนการคิดเชิงออกแบบที่มีศักยภาพ สามารถนำมาพัฒนาต่อยอดเป็นนวัตกรรมเพื่อสังคมที่ช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตผู้คนได้ ด้วยจำนวนผลงานที่ส่งเข้าประกวดจำนวนมาก หลายผลงานมีพื้นฐานมาจากการพัฒนาเพื่อใช้ประโยชน์ทางเกษตรกรรมซึ่งเป็นวิถีชีวิตของคนไทยส่วนใหญ่ในท้องถิ่นเช่นเครื่องจักรกลเกษตร ระบบชลประทานการใช้พลังงานแสงอาทิตย์ที่หาได้อย่างแพร่หลายในประเทศไทย แต่สามารถนำมาพัฒนาเพื่อนำไปใช้งานในบริบทที่กว้างขึ้น กลายเป็นนวัตกรรมที่ช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตให้กับคนไทยในวงกว้างหากมีโอกาสได้เข้าถึงการสนับสนุนจากทั้งภาครัฐ และเอกชน ทั้งในด้านทรัพยากร องค์ความรู้ และแหล่งทุนอย่างเป็นรูปธรรม
สำหรับผลงานนวัตกรรมและสิ่งประดิษฐ์ที่ผ่านการคัดเลือกรอบแรกทั้ง 10 ทีม ประกอบด้วย เครื่องเจาะดินนิวบอร์น 


โดยมีนวัตกรช่างชุมชนคือ คุณปรีชา บุญส่งศรี 28 หมู่ 6 ต.โคกตูม อ.เมือง จ.ลพบุรี โทร.086-618-2302 ซึ่งมีแนวคิดในการพัฒนาจากความต้องการที่จะปลูกกล้วยนับพันต้น แต่พบว่าการขุดหลุมปลูกทีละต้นทั้งเหนื่อยและใช้เวลามาก เครื่องเจาะดินที่หาซื้อได้ก็ไม่ทนทาน ใช้งานยากและก่อให้เกิดอุบัติเหตุได้ง่าย จึงพยายามคิดค้นเครื่องขุดดินตั้งแต่เสียมขนาดใหญ่ที่ทนทานและมีที่เหยียบสำหรับเพิ่มแรงในการขุดมาเป็นสว่านเจาะดินมือหมุน จนกระทั่งพัฒนาต่อยอดมาเป็นเครื่องเจาะดินแบบรถเข็นล้อเดี่ยว ที่เหมาะกับการลากเคลื่อนย้ายในพื้นที่ขรุขระ และช่วยในการควบคุมทิศทางการเจาะดินได้ดี ซึ่งอุปกรณ์ที่พัฒนาขึ้นมีจุดเด่นที่ใช้งานได้สะดวก ราคาไม่แพง เกษตรกรสามารถเข้าถึงได้ง่าย


เรือรดน้ำอัตโนมัติ นวัตกรช่างชุมชนคือคุณสายธาร ม่วงโพธิ์เงิน 96/3 หมู่1 ต.บางแก้วฟ้า        อ.นครชัยศรี จ.นครปฐม 73120 โทร.094-3695361 มีแนวคิดในการพัฒนาจากการวางระบบสปริงเกลอร์รดน้ำแบบที่สวนอื่นทำ "ยังไม่ใช่คำตอบ" เพราะต้นทุนสูงกว่าหลายเท่า โจทย์ตอนนั้นคือทำให้เป็นโรบอท ทำยังไงให้เรากดสวิตช์ปุ๊บแล้วไม่ต้องสนใจ ปล่อยมันไป ให้มันทำงาน” 'เรือรดน้ำอัตโนมัติ' อาศัยเครื่องยนต์เบนซินสองจังหวะ มอเตอร์ โฟม เหล็ก ท่อพีวีซีและกล่องควบคุมที่เขียนโปรแกรมให้กับไมโครคอนโทรลเลอร์เพื่อควบคุมความเร็วของมอเตอร์ให้คงที่ เมื่อติดเครื่องแล้ว สามารถปล่อยให้รดไปรอบๆ สวนได้เอง ช่วยลดการใช้แรงงานในการรดน้ำพืชไร่พืชสวนและประหยัดต้นทุนในการทำการเกษตร


จักรยานปีนต้นมะพร้าว นวัตกรช่างชุมชนคือคุณณรงค์ หงส์วิชุลดา 122 หมู่ 8 บ้านน้อยร่มเย็น ต.กาบเชิง อ.กาบเชิง จ.สุรินทร์ 32210 โทร.062-3483150 พัฒนาขึ้นจากความต้องการแก้ไขปัญหาการหาคนปีนต้นมะพร้าวได้ยาก เนื่องจากเป็นงานอันตราย ทำให้การเก็บลูกมะพร้าว ลูกตาล ลูกหมาก และการตัดแต่งกิ่งไม้บนต้นไม้สูงมีความปลอดภัยและสามารถออกแบบปรับเปลี่ยนให้เหมาะสมกับการปีนต้นไม้แต่ละชนิดได้ ประโยชน์ที่ได้รับจากสิ่งประดิษฐ์ชิ้นนี้คือลดการสูญเสียชีวิตและบาดเจ็บของเกษตรกรสามารถอยู่บนต้นไม้ได้เป็นระยะเวลายาวนาน โดยไม่เกิดความเมื่อยล้า จึงเก็บเกี่ยวผลผลิตได้มากขึ้น ทำให้รายได้เพิ่มขึ้น


เครื่องอูดยุง นวัตกรช่างชุมชนคือ คุณสุริยา คำคนซื่อ 187 หมู่ 8 ต.นาขาม อ.เรณูนคร จ.นครพนม โทร.095-2896855 พัฒนาขึ้นจากปัญหาเครื่องพ่นยุงแบบสะพายหลังดั้งเดิมที่มีขนาดใหญ่ เสียงดัง สิ้นเปลืองเชื้อเพลิง และมีราคาแพง ทำให้มีจำนวนเครื่องไม่เพียงพอกับการใช้งานครอบคลุม 80 หมู่บ้านของตำบลท่าลาด จึงสร้างเครื่องพ่นสารกำจัดยุงขนาดเล็กที่ตัวแทน อสม.แต่ละหมู่บ้านสามารถพกพาและใช้งานได้ง่าย อีกทั้งยังมีราคาถูกจึงสามารถผลิตได้จำนวนมาก อีกทั้งยังช่วยให้การฉีดกำจัดยุงทำได้อย่างรวดเร็ว ลดความเสี่ยงด้านสุขภาพของชาวบ้านในชุมชน โดยเฉพาะโรคติดต่อที่มียุงเป็นภาหะ ลดรายจ่ายของภาครัฐในการรักษาผู้ป่วยจากโรคที่มียุงเป็นพาหะ และลดรายจ่ายขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในการจัดสรรงบประมาณเพื่อกำจัดยุงตามหมู่บ้าน  


รถไถนั่งขับอีลุย นวัตกรช่างชุมชนคือ คุณวิมล สุวรรณ 60 หมู่ 1 ต.วังยาง อ.พรรณานิคม จ.สกลนคร 47130 โทร.081-206-2305  แนวคิดในการพัฒนาจากประสบการณ์รับจ้างไถปรับหน้าดินด้วยรถไถเดินตามมาอย่างยาวนาน ความเมื่อยล้าที่เกิดขึ้นจนเกือบ จะประสบอุบัติเหตุทำให้ต้องคิดค้นหาวิธีการที่จะทำให้รถไถเดินตามใช้งานได้ง่ายยิ่งขึ้น แต่ด้วยขาดแคลนทุนทรัพย์จึงอาศัยเรียนรู้จากกลไกของรถไถขนาดใหญ่ และหาอะไหล่มือสองมาดัดแปลงรถไถเดินตามคู่ใจ จนกระทั่งกลายเป็นรถไถนั่งขับที่สามารถทำงานได้ไม่แพ้รถไถราคาแพงขนาดใหญ่ ทั้งนี้ อีลุย คือชุดอุปกรณ์ดัดแปลงรถไถเดินตามที่เกษตรกรมีกันอยู่ทุกบ้านให้กลายเป็นรถไถนั่งขับได้ในราคาไม่แพง พร้อมติดตั้งระบบต่อพ่วงอุปกรณ์เกรดหน้าดิน ผานไถ พ่วงลาก ฯลฯ ตามความต้องการของผู้ใช้ โดยเฉพาะเกษตรกรสูงวัย ให้สามารถทำงานในพื้นที่เกษตรกรรมได้สะดวกสบายยิ่งขึ้น ประโยชน์ที่ได้รับ สร้างรายได้เพิ่ม โดยปัจจุบันได้เปิดให้บริการกับผู้สนใจนำรถไถเดินตามมาติดตั้งชุดอุปกรณ์ดัดแปลง นั่งขับ ซึ่งมีผู้สนใจเข้ามาใช้บริการอย่างต่อเนื่อง   


ตะบันน้ำถังแก๊ส นวัตกรช่างชุมชนคือคุณอุดม อุทะเสน 86 หมู่ 11 บ้านทุ่งเทิง ต.โป่ง อ.ด่านซ้าย จ.เลย โทร.087-2165686 แนวคิดในการพัฒนา ด้วยทักษะช่างเครื่องยนต์เล็กและความรับผิดชอบในฐานะผู้ใหญ่บ้านแห่งบ้านทุ่งเทิง ต.โป่ง อ.ด่านซ้าย จ.เลย คุณอุดม อุทะเสน ได้พยายามแสวงหาวิธีการที่จะนำน้ำที่ไหลมาจากป่าต้นน้ำเพื่อให้ชาวบ้านในหมู่บ้านได้มีน้ำในการบริโภคและใช้ในการเกษตร แต่ด้วยสภาพพื้นที่ที่ห่างไกล หลายพื้นที่ไฟฟ้าเข้าไม่ถึง ตะบันน้ำจึงกลายเป็นทางเลือกที่เหมาะสมกับหมู่บ้านที่อยู่ในเขตป่าต้นน้ำ คุณอุดมได้พัฒนาตะบันน้ำอย่างต่อเนื่องจากเดิมใช้ท่อพลาสติคพีวีซี มาเป็นท่อเหล็ก ต่อมาเป็นถังน้ำยาแอร์ และท้ายที่สุดได้หันมาใช้ถังแก๊สมือสองที่มีความทนทานและมีขนาดที่เหมาะสม


กาลักน้ำประปาภูเขา นวัตกรช่างชุมชนคือกลุ่มช่างชุมชนเมืองจัง 195 หมู่ 1 ต.เมืองจัง อ.ภูเพียง จ.น่าน 55000 โทร.091-0718902 แนวคิดในการพัฒนา เกิดจากปัญหาการสิ้นเปลืองงบประมาณในการสูบน้ำเพื่อประโยชน์ด้านการชลประทานภายในหมู่บ้าน จึงพัฒนาเครื่องสูบน้ำแบบกาลักน้ำที่อาศัยหลักทางวิทยาศาสตร์ โดยไม่ต้องใช้พลังงานจากภายนอกเพื่อประโยชน์ในการสูบน้ำจากแหล่งกักเก็บไปยังลำรางส่งน้ำของหมู่บ้าน ประโยชน์ที่ได้รับ ลดต้นทุนในการสูบน้ำเพื่อสาธารณูปโภคและการเกษตรภายในหมู่บ้าน ช่วยให้ชาวบ้านเข้าถึงแหล่งน้ำสะอาดอันส่งผลต่อสุขภาพที่ดี และเพิ่มรายได้จากการเกษตรที่เข้าถึงระบบชลประทาน


เครื่องตัดหญ้าโซลาร์เซลล์ นวัตกรช่างชุมชนคือคุณกฤษณะ สิทธิหาญ 196 หมู่ 5 ต.บุญนาคพัฒนา อ.เมือง จ.ลำปาง 52000 โทร.084-0429847 แนวคิดในการพัฒนา เครื่องตัดหญ้าติดแผงโซลาร์เซลล์ในตัวเป็นทางเลือกให้กับเกษตรกร ทำงานด้วยมอเตอร์กำลังสูงที่สามารถใช้งานได้อย่างต่อเนื่องได้ทั้งวัน แผงโซลาร์เซลล์ขนาดเล็กที่สามารถชาร์จกระแสไฟฟ้าได้อย่างต่อเนื่อง ที่สามารถชาร์จกระแสไฟฟ้าได้ระหว่างการใช้งาน หรือถึงแม้จะเป็นวันที่ไม่มีแสงอาทิตย์ก็สามารถใช้งานได้ด้วยแบตเตอรี่สำรอง การออกแบบมือจับแบบพิเศษที่ช่วยเพิ่มองศาจากจุดหมุนเพื่อตัดหญ้าได้กว้างกว่ามือจับแบบทั่วไป ด้วยตัวเครื่องที่มีน้ำหนักเบาและกะทัดรัด เครื่องตัดหญ้าติดแผงโซลาร์เซลล์ในตัว ประโยชน์ที่ได้รับ ประหยัดการใช้พลังงาน ลดค่าใช้จ่าย สร้างรายได้เพิ่ม


เครื่องบดผสมปุ๋ยหมักและดินปลูก เลิกเผา ลดควัน ด้วยการแปลงเศษใบไม้ที่ได้ในแต่ละวันให้เป็นดินพร้อมปลูก นวัตกรช่างชุมชนคือ คุณสุรเดช ภูมิชัย 124 หมู่ 6 ต.หนองล่อง อ.เวียงหนองล่อง         จ.ลำพูน 51120 โทร.081-6128254 แนวคิดในการพัฒนาเกิดจากเกษตรกรชาวสวนลำไยและสวนมะม่วงต้องตัดแต่งกิ่งเป็นประจำทุกวัน จึงรวบรวมใบลำไยและใบมะม่วงมาผลิตเป็นปุ๋ยหมักและดินพร้อมปลูก โดยการสนับสนุนจากสำนักงานพัฒนาชุมชนจังหวัดลำพูน ทำให้ทางกลุ่มสามารถพัฒนาผลิตภัณฑ์ดินพร้อมปลูกจากปุ๋ยหมักใบลำไยและใบมะม่วง ที่ขายดีจนต้องสั่งจองล่วงหน้า เครื่องบดผสมอเนกประสงค์ต้นทุนต่ำจากถังน้ำมัน 200 ลิตร สามารถใช้ในการผลิตปุ๋ยหมักและดินพร้อมปลูกบรรจุถุงคุณภาพสูงได้มากถึง 4 ตันต่อวัน สร้างรายได้เสริมให้กับเกษตรกร


ของเล่นไม้กลไกเคลื่อนไหว นวัตกรช่างชุมชนคือโรงเล่นและพิพิธภัณฑ์เล่นได้ 48 หมู่ 3 ต.ป่าแดด อ.แม่สรวย จ.เชียงราย 57180 โทร.089-9998537 หรือแฟนเพจ "โรงเล่นพิพิธภัณฑ์เล่นhttps://web.facebook.com/PlayableMuseum/  แนวคิดในการพัฒนาของเล่นที่แค่เห็นก็สนุกแล้ว จากฝีมือของกลุ่มคนเฒ่าคนแก่ใจดี ช่างไม้นักทำของเล่นกว่า 20 คน ที่ช่วยกันพัฒนาต่อยอดจากของเล่นพื้นบ้าน ใช้วัสดุธรรมชาติที่หาได้ในท้องถิ่นมาเป็นวัตถุดิบ สร้างสรรค์ชิ้นงานด้วยเครื่องมือช่างพื้นบ้าน เพิ่มเติมด้วยจินตนาการของผู้ใหญ่ที่อยากให้ลูกหลานได้เรียนรู้และจินตนาการไปไกลกว่าอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ด้วยความมุ่งมั่นของสองพี่น้องนักก่อการเล่น ผู้ประสานงานของกลุ่มคนเฒ่าคนแก่ ที่ทำหน้าที่เชื่อมประสานผู้อาวุโสนักประดิษฐ์ของเล่น จึงทำให้ของเล่นเหล่านี้มีการพัฒนารูปแบบและกลไก ประโยชน์ที่ได้รับ เกิดกระบวนการส่งต่อความรู้ไปยังเด็กรุ่นใหม่อย่างต่อเนื่อง ของเล่นแนวเคลื่อนไหวที่สนุกสนานหลากหลายแบบที่ราคาไม่แพงและเล่นได้ไม่รู้เบื่อ
โดยทั้ง 10 ทีมจะได้รับเงินทุนสนับสนุนสำหรับการพัฒนาผลงานในเบื้องต้น พร้อมเข้าร่วมกิจกรรมอบรมด้วยกระบวนการคิดเชิงออกแบบ (Design Thinking) ก่อนที่จะมีการคัดเลือกผลงานที่ดีที่สุด3 ผลงานเพื่อเข้ารอบสุดท้ายซึ่งจะได้เงินรางวัลสำหรับเป็นทุนในการพัฒนาผลงาน รางวัลละ 100,000 บาท พร้อมโอกาสในการรับคำปรึกษาอย่างใกล้ชิดจากผู้เชี่ยวชาญในสาขาการออกแบบผลิตภัณฑ์ เทคนิคทางวิศวกรรม และการจัดการธุรกิจนวัตกรรมโดยมีเป้าหมายเพื่อปรับปรุงและพัฒนาผลงานดังกล่าวให้เป็นเลิศทั้งในด้านประโยชน์ ประสิทธิภาพประสิทธิผลในการใช้งาน โครงสร้าง คุณสมบัติรูปลักษณ์ ความสะดวกในการใช้งานการบำรุงรักษา ฯลฯ จนได้เป็นนวัตกรรมต้นแบบที่สามารถเผยแพร่ใช้งานในวงกว้างเพื่อตอบโจทย์ปัญหาชุมชนและสังคมในบริบทได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ทั้ง 10 ทีมที่เข้ารอบจะได้เข้าร่วมกิจกรรมเวิร์คช็อปการพัฒนาแนวคิดนวัตกรรมช่างชุมชนแบบ 4 มิติ (การออกแบบ, กลไกและวิศวกรรม, ต้นทุนราคา, การทำการตลาด) ซึ่งแบ่งออกเป็น 1) การนำเสนอนวัตกรรมช่างชุมชน จากความตั้งใจสู่การปฏิบัติของแต่ละนวัตกร 2) กิจกรรมเรียนรู้จากแรงบันดาลใจนวัตกรรมช่างชุมชนระดับโลก 3) กิจกรรมร่วมกันวิเคราะห์จาก 4 มิติ (การออกแบบ, กลไกและวิศวกรรม, ต้นทุนราคา, การทำการตลาด) 4) สรุปปัญหา โอกาส และแผนเบื้องต้นเกี่ยวกับแนวทางการพัฒนานวัตกรรมของแต่ละชิ้นงาน และ 5) เรียนรู้โอกาสการต่อยอดนวัตกรรม และแนวทางการรับการสนับสนุนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น NIA และITAP สุดท้าย จะเป็นช่วงวันสำหรับการเข้าพบที่ปรึกษา โดยจะมีทีมวิศวกรอาสาจาก ช.การช่าง เป็นที่ปรึกษา  ด้านวิศวกรรม อาจารย์จากภาควิชาออกแบบผลิตภัณฑ์คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เป็นที่ปรึกษาด้านการออกแบบ และนักวางแผนธุรกิจและการเงินจากสถาบันเชนจ์ฟิวชั่น เป็นที่ปรึกษาด้านต้นทุนราคาและการจัดการและการตลาด


สวก.หนุนงานวิจัย “ไข่ผำ”...ขับเคลื่อนนวัตกรรมอาหารแห่งอนาคต

  สำนักงานพัฒนาการวิจัยการเกษตร (องค์การมหาชน) หรือ สวก. เดินหน้าพัฒนางานวิจัย      ขานรับนโยบาย รัฐบาล สร้างนวัตกรรมอาหารอนาคต ปฏิรูปภาค...