วันเสาร์ที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2563

ทำไม ???ไม่หยุดเผาอ้อย


เรื่องฝุ่น pm2.5 ที่โยงไปถึงหนึ่งในต้นตอคือการเผาอ้อย ทำไมชาวไร่ถึงหยุดเผาไม่ได้ มาหาคำตอบกันครับกับงานวิจัยของนักบริหารการพัฒนาการเกษตรระดับสูงรุ่นที่ 61 ซึ่งเรียบเรียงโดยธัชธาวินท์ สะรุโณ เรื่อง Friendly sugar cane:  แนวทางการเพิ่มมูลค่าการผลิตอ้อยที่เป็นมิตรและยั่งยืน โดยหยิบยกมาบางตอนที่เกี่ยวกับปัญหาผลกระทบจาการเผาใบอ้อย มีดังนี้ คือ ปริมาณผลผลิตอ้อยที่มีการเผาใบจะมีประมาณ ร้อยละ 60-70 ของผลผลิตทั้งหมด ปัจจุบันเกษตรกรผู้ผลิตอ้อย หันมานิยมเผาใบอ้อยกันมาก ทั้งนี้การเผาสามารถแบ่งออกได้ 3 ระยะ คือ 1.การเผาใบอ้อยก่อนการเตรียมดิน เพื่อให้สะดวกในการเตรียมดินปลูก เพราะล้อรถแทรกเตอร์จะลื่นเวลาที่ไถ 2.การเผาใบอ้อยก่อนการเก็บเกี่ยว สืบเนื่องจากปัญหาการขาดแคลนแรงงาน จะทำให้ตัดได้รวดเร็วเพราะไม่ต้องลอกกาบใบ 3,การเผาใบอ้อยหลังการเก็บเกี่ยว เพื่อป้องกันไฟไหม้อ้อยตอ หลังจากที่มีหน่องอกแล้ว และทำให้สามารถใส่ปุ๋ยได้สะดวกยิ่งขึ้น
ละอองดาว แสงหล้า,และ ธวัชชัย ศุภดิษฐ์(2548)  ศึกษาพบว่า การขาดแคลนแรงงานในการเก็บเกี่ยวอ้อยและปัญหาค่าจ้างแรงงานสูง โดยคิดเป็นสัดส่วนถึงร้อยละ 50 ของต้นทุนการผลิตอ้อยทั้งหมดต่อฤดูปลูก เป็นสาเหตุสำคัญทำให้เกษตรบางส่วนหันมาใช้วิธีการเผาใบอ้อยซึ่งจะช่วยให้สามารถตัดอ้อยได้เร็วทันฤดูเปิดหีบของโรงงานน้ำตาล
ผลกระทบจากการเผาใบอ้อย คือ ทำให้เกิดการสูญเสียอินทรียวัตถุและธาตุอาหารพืชในดิน หน้าดินถูกชะล้างได้ง่าย ธรรมชาติขาดความสมดุล การเผาใบอ้อยทำให้หนอนกอลายและหนอนกอสีชมพูเข้าทาลายอ้อยตอได้ง่ายขึ้น นอกจากนี้แมลงศัตรูธรรมชาติเช่น แตนเบียน แมลงเต่าลาย อาจถูกทาลาย การเผาใบอ้อยทาให้เกิดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์และกลุ่มหมอกควัน ทำให้บ้านเรือนสกปรกจากฝุ่นละอองเถ้าที่ปลิวมาตกตามอาคารบ้านเรือน การสูญเสียน้ำหนักของอ้อยไฟไหม้จะสูญเสียน้ำหนักมากกว่าอ้อยตัดสด  การสูญเสียคุณภาพความหวานของอ้อย จะมีค่า C.C.S. ลดลงมาก แต่การตัดอ้อยไฟไหม้กองไว้จะช่วยชะลอการลดลงของ C.C.S. ได้ 

การสูญเสียน้ำตาลในขบวนการผลิต อ้อยไฟไหม้จะสูญเสียน้ำตาลซูโครสโดยจุลินทรีย์ที่ปนเปื้อนมาในน้ำอ้อย ทำให้ซูโครสเปลี่ยนเป็นเด็คแทรน มีลักษณะเมือกเหนียว ทำให้กระบวนการผลิตน้ำตาล เช่น การทำให้ใส การกรอง และการตกผลึก มีประสิทธิภาพลดลง ทำให้ได้ผลผลิตน้ำตาลต่อต้นอ้อยน้อยลงและเสียค่าใช้จ่ายในการผลิตน้ำตาลเพิ่มขึ้น ผลกระทบต่อการค้าน้ำตาลในตลาดโลกในอนาคต อาจทำให้ถูกกีดกันการค้าจากมาตรการที่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมของโลก
แนวทางการแก้ไขปัญหาในปัจจุบัน มีคำแนะนำการใช้เครื่องจักรกลการเกษตร ได้แก่ การใช้เครื่องสับใบและกลบเศษซากอ้อย (อรรถสิทธิ์ และคณะ, 2548) อ้อยไฟไหม้ควรตัดส่งโรงงานทันที แต่ในกรณีที่ส่งโรงงานไม่ทัน ควรตัดกองไว้ในไร่ ซึ่งจะสูญเสียความหวานน้อยกว่าการทิ้งยืนต้นไว้ในไร่ ควรส่งเสริมการนำเอาเครื่องตัดอ้อยมาใช้ทดแทนแรงงานที่ขาดแคลน แต่ปัจจุบันยังไม่เป็นที่นิยมแพร่หลายเนื่องจากมีค่าใช้จ่ายสูง และควรกำหนดราคาอ้อยตัดสดให้สูงกว่าอ้อยไฟไหม้ในระดับที่เกษตรกรรับได้ 

การศึกษาพฤติกรรมการเผาใบอ้อยในพื้นที่เกษตรกร ก่อนเก็บเกี่ยวเกษตรกรส่วนใหญ่จะมีการเผาใบด้วยเหตุผลหลายประการ คือ ประการแรก เป็นการลดต้นทุนการเก็บเกี่ยว กล่าวคือ การตัดอ้อยสดถ้าใช้แรงงาน  1 คน จะตัดได้ 2 ตัน/วัน (8ชั่วโมง) คิดตามค่าแรงงานมาตรฐานเท่ากับ 150 บาท/ตัน  ค่าจ้างมัดและขนส่ง 500 บาท/ตัน รวมต้นทุนการเก็บเกี่ยวอ้อยสด 650 บาท/ตัน ส่วนอ้อยไฟไหม้ แรงงาน 1 คนจะตัดได้ 4 ตัน/วันเป็นค่าแรงงาน 75 บาท/ตัน  ค่าจ้างมัดและขนส่ง 100 บาท/ตัน รวมต้นทุน 175 บาท/ตัน จึงเป็นการลดต้นทุนการเก็บเกี่ยวและขนส่งขึ้นรถบรรทุกถึง  485 บาท/ตัน
ประการที่สอง  ในสภาวะที่แรงงานขาดแคลน การตัดอ้อยสดจะมีความเสี่ยงทำให้อ้อยเข้าโรงงานไม่ทันฤดูการเปิดหีบ  ตัวอย่างเช่น เกษตรกรปลูกอ้อย 50 ไร่ ได้ผลผลิต 750 ตัน ถ้าตัดสดด้วยแรงงานคน 10 คน จะใช้เวลาถึง 37.5 วัน แต่การเผาก่อนตัดจะลดเวลาเก็บเกี่ยวลงเหลือครึ่งหนึ่ง และในข้อเท็จจริงการจัดหาแรงงานของกลุ่มจะได้แรงงานมาจำนวนจำกัดประมาณ 150 คน ทำงานในพื้นที่ประมาณ 4,000 ไร่ หากตัดอ้อยสดทั้งกลุ่มจะใช้เวลาถึง 200 วัน ขณะที่โรงงานเปิดรับซื้ออ้อยเพียง 150 วัน จึงไม่สามารถเก็บเกี่ยวให้ทันส่งโรงงานได้ทัน ส่งผลให้อ้อยตัดไม่ทัน 1,000 ตัน สูญเสียรายได้ ประมาณ 9 แสนบาท

         ประการที่สาม  โรงงานยังคงรับซื้อผลผลิตอ้อยไฟไหม้ และโรงงานต้องการผลผลิตในปริมาณมากที่จะเข้าโรงงานแต่ละวันซึ่งการตัดโดยไม่เผาใบจะไม่สามารถดำเนินการได้ทัน การตัดอ้อยสดทำละได้เฉพาะรายที่มีพื้นที่น้อยๆ และมาตรการการเพิ่มราคาซื้ออ้อยสดเพียง 50 บาท/ตัน อ้อยไฟไหม้หัก 20 บาท/ตัน ยังไม่คุ้มกับค่าจ้างแรงงานและการเผาใบก่อนเก็บเกี่ยวทำให้น้ำหนักลดแต่ค่าความหวานเพิ่มขึ้น 
ประเด็นที่สี่ การเผาอ้อย มีทั้งชาวไร่เผาในไร่ของตนเอง และไปแอบเผาของคนอื่นให้ลามเข้ามาในไร่ของตนเอง (เพื่อเลี่ยงการเป็นต้นเพลิง) การรีบเผาอ้อยจะทำให้สามารถส่งขายผลผลิตได้ก่อนคนอื่นสามารถได้เงินก่อน และได้ใช้น้ำก่อนคนอื่นๆ   
ประการที่ห้า ในความเห็นของโรงงาน ยังต้องการอ้อยเขียวตัดสด ซึ่งสามารถรอส่ง(นอนค้างไร่)ได้ ถึง 7 วันหลังเก็บเกี่ยว แต่ถ้าเป็นอ้อยเผาจะต้องส่งภายใน 24 ชั่วโมง โรงงานมีมาตรการเฝ้าระวังการเผาอ้อย และมาตรการปัจจุบันเกษตรกรต้องแสดงใบแจ้งความจึงขายกับโรงงานได้  อ้อยที่เผาเกษตรกรจะต้องรีบส่งเข้าโรงงานจึงทำให้เกิดปัญหาการแซงคิว นอกจากนั้นมีปัญหาอ้อยสกปรกจากดินโคลนเนื่องเกิดจากฝนตกในฤดูเก็บเกี่ยว
เกษตรกรให้ความเห็นว่าการรณรงค์ไม่เผาใบอ้อย ไม่เกิดผลสำเร็จได้  เป็นการสูญเสียไม่คุ้มค่าการใช้งบประมาณภาครัฐ แนวทางการที่ให้เป็นไปได้คือการจัดหาเครื่องเก็บเกี่ยวหรือจัดหาแรงงงานและชดเชยค่าจ้างแรงงานให้แก่เกษตรกรซึ่งในความเป็นจริงไม่สามารถดำเนินการได้เนื่องจากมีราคาแพงประมาณ 12 ล้านบาท

Friendly sugar cane:  แนวทางการเพิ่มมูลค่าการผลิตอ้อยที่เป็นมิตรและยั่งยืน Friendly sugar cane:  the value added guideline for green and sustainable
ผลการวิจัย พบว่ามีข้อเสนอแนะเชิงนโยบายและเชิงเทคนิคในการพัฒนาการผลิตอ้อย
ภายใต้  วิสัยทัศน์ "อ้อยได้มาตรฐานส่งโรงงาน มีกระบวนการผลิตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและเกษตรกรมีคุณภาพชีวิตที่ดี และความยั่งยืน" โดยยุทธศาสตร์ที่1 การพัฒนาขีดความสามารถเกษตรกรในการเพิ่มผลผลิตอ้อยที่ เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ประกอบด้วยการพัฒนามาตรฐานการผลิตอ้อยที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม การพัฒนาแหล่งน้ำ การพัฒนาเทคโนโลยีการให้น้ำระบบน้ำหยด การพัฒนาการใช้ประโยชน์แผงพลังงานแสงอาทิตย์ พัฒนาและส่งเสริมการใช้เครื่องจักรกลการเกษตร การวิจัยและพัฒนาการศึกษา ป้องกันปัญหาจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การศึกษาเครื่องจักรกลการเกษตร การศึกษา โรงงานแปรรูปอย่างง่าย การศึกษาผลิตภัณฑ์แปรรูป การวิจัยปรับปรุงพันธุ์  การขยายผลและ ถ่ายทอดเทคโนโลยีจากแปลงต้นแบบ  การส่งเสริมการลดละเลิกการเผาอ้อย  มาตรการชดเชยเพื่อลด มลภาวะสิ่งแวดล้อม  มาตรการเพิ่มราคาซื้ออ้อยสดที่จูงใจ การปูองกันแบบมีส่วนร่วมการเพิ่มศักยภาพการผลิตและกระบวนการผลิตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม 
ยุทธศาสตร์ที่ 2 การพัฒนาสถาบัน เกษตรกรและสร้างเครือข่ายธุรกิจที่เป็นมิตร ประกอบด้วยพัฒนาสถาบันเกษตรกรผู้ปลูกอ้อย พัฒนาการบริการและการดำเนินธุรกิจครบวงจร สถาบันเกษตรกรต้นแบบ เกษตรกรต้นแบบ และพัฒนาการเชื่อมโยงเครือข่ายพันธมิตรอ้อยและน้ำตาลในปี 2562 หากนำไปขยายผลในพื้นทีร้อยละ 50 ของพื้นที่ปลูกอ้อยทั่วประเทศคือประมาณ 5 ล้านไร่ จะสร้างมูลค่าเพิ่มไม่น้อยกว่า 95,800 ล้านบาท จากการเพิ่มผลผลิตต่อไร่จาก 11.35 ตัน/ไร่ เป็น 20 ตัน/ไร่ เพิ่มคุณภาพเปอร์เซ็นต์น้ำตาล ลดการสูญเสียคุณภาพระหว่างการรอคิว ลดต้นทุนค่าแรงงาน ลดการเผาใบอ้อยจากร้อยละ 66 เหลือร้อยละ 33 มีสถาบันเกษตรกรต้นแบบจังหวัดละ 1 แห่ง ในการบริการริหารจัดการภาคการผลิตอ้อย Smart farmers คุณภาพชีวิตเกษตรกร

ขอบคุณข้อมูล : บทความจากงานวิจัย นบส.61  นักวิจัยประกอบด้วย ธัชธาวินท์ สะรุโณ, วินิต อธิสุข,  ปรานอม จันทร์ใหม่, กรียาภรณ์ เทพหัสดิน ณ อยุธยา, ประสพ พรหมมา, พรเทพ บุญยะผลึก, ถกล ตติยไตรรงค์, วัชรินทร์ อ่อนนุ่ม, อนุพงษ์ ใจดี ,วิชิต นวลชื่น, ปทิตตา แก้วมณี, ชูจิต ทองย้อย, สุเมธ วัฒนา

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

สวก.หนุนงานวิจัย “ไข่ผำ”...ขับเคลื่อนนวัตกรรมอาหารแห่งอนาคต

  สำนักงานพัฒนาการวิจัยการเกษตร (องค์การมหาชน) หรือ สวก. เดินหน้าพัฒนางานวิจัย      ขานรับนโยบาย รัฐบาล สร้างนวัตกรรมอาหารอนาคต ปฏิรูปภาค...