นายพลเชษฐ์
ตราโช รองเลขาธิการสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) กระทรวงเกษตรและสหกรณ์
เปิดเผยถึงพืชทางเลือกที่น่าสนใจ
สามารถสร้างรายได้ให้กับเกษตรกรในพื้นที่จังหวัดกาญจนบุรี คือ “เมล่อน” เป็นพืชทางเลือกที่เกษตรกรนิยมปลูกมากที่สุดในอำเภอเมืองกาญจนบุรี
เนื่องจากเป็นพืชที่เพาะปลูกง่าย ปลูกได้ตลอดทั้งปี สามารถปลูกได้ทั้งในโรงเรือนและกลางแจ้ง
ใช้เครื่องมือทางการเกษตรและน้ำน้อย รวมถึงใช้พื้นที่ปลูกไม่มาก
แต่ให้ผลตอบแทนต่อพื้นที่สูงและเป็นที่ต้องการของตลาด ซึ่งตลาดที่สำคัญ ได้แก่
ห้างสรรพสินค้า ร้านขายของฝาก และขายทางออน์ไลน์
จากการลงพื้นที่ของสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตรที่
10 จังหวัดราชบุรี (สศท.10) โดยสัมภาษณ์ นายอาทิตย์ นิยมวงษ์ ประธานกลุ่มวิสาหกิจผู้ปลูกเมล่อน สวนกิตติยาฟาร์ม ตำบลลาดหญ้า
อำเภอเมืองกาญจนบุรี ซึ่งมีสมาชิกจำนวน 7 ราย พื้นที่เพาะปลูกจำนวน 37 ไร่ พบว่า
เกษตรกรนิยมปลูกเมล่อนพันธุ์กรีนเน็ต พอทออเร้นจ์ และโกลเด้นควีน มีต้นทุนการผลิตเฉลี่ย
18,000
บาท/รอบ/โรงเรือน เริ่มติดผลเมื่อมีอายุประมาณ 35 – 40 วัน ระยะเวลาเก็บเกี่ยว 75-80 วัน ให้ผลผลิตเฉลี่ย
1-1.5 ตัน/รอบ/โรงเรือน ผลตอบแทนสุทธิ
(กำไร) เฉลี่ย 35,000 บาท/รอบ/โรงเรือน
ราคาขายจะแยกตามเกรดของผลผลิต ซึ่งเกรด A ราคาขายอยู่ที่
60-85 บาท/กก. เกรด B ราคาขายอยู่ที่ 40 บาท/กก. ส่วนเกรด C ราคาขายอยู่ที่ 25 บาท/กก. ด้านการเพาะปลูก
เกษตรกรจะปลูกในโรงเรือนขนาด 5x40 เมตร มีจำนวน 55 โรงเรือน และกำลังขยายเพิ่มอีก 5 โรงเรือน เป็น
60 โรงเรือน สามารถปลูกเมล่อนได้จำนวน
800 ต้น/โรงเรือน มีผลผลิตจำหน่าย 5,000 – 8,000 กิโลกรัม/สัปดาห์ ซึ่งข้อดีของการปลูกในโรงเรือน คือ
สามารถปลูกได้ตลอดทั้งปี ลดความเสี่ยงจากโรคและแมลงได้ ทำให้สามารถลดต้นทุนการใช้สารเคมีและปัจจัยการผลิตอื่นๆ อีกทั้ง
ยังลดความเสี่ยงจากสภาพแวดล้อม เช่น น้ำค้าง ฝนตกหนักและแสงแดดจัด
ทั้งนี้
เมล่อนเป็นพืชที่เจริญเติบโตได้ในดินแทบทุกชนิดแต่ดินที่เหมาะสมต่อการเพาะปลูกมากที่สุด
คือ ดินร่วนปนทราย ส่วนสภาพอากาศที่เหมาะสม
คือ อากาศอบอุ่น มีแสงแดดเพียงพอและความชื้นสัมพัทธ์ต่ำ นอกจากนี้
การปลูกเมล่อนในฤดูร้อน ผลจะสุกเร็วกว่าในฤดูหนาว เมื่อผลมีขนาดเท่าไข่ไก่จะเริ่มทำการห่อผล
หลังจากห่อผลประมาณ 1 เดือน ก็จะสามารถเก็บเกี่ยวผลผลิตได้ ส่วนการตัดผลเมล่อน นอกจากตัดขั้วติดมาแล้วยังต้องตัดให้ติดส่วนของกิ่งแขนงย่อยออกมาด้วย
โดยให้ติดเป็นรูปตัว T หลังจากเก็บเกี่ยวสามารถเก็บรักษาผลผลิตได้ประมาณ 15 –
20 วัน นอกจากนี้ หากต้องการให้เมล่อนมีความหวานมากขึ้น
ควรงดการให้น้ำก่อนการเก็บเกี่ยวประมาณ 5 วัน
ด้านนางจินตนา
ปัญจะ ผู้อำนวยการ สศท.10 กล่าวเสริมว่า ในสภาพภูมิประเทศของประเทศไทย
การผลิตเมล่อนให้ได้คุณภาพสูงนั้น
จำเป็นต้องมีการดูแลเอาใจใส่ในการเพาะปลูกเป็นอย่างดี
เพื่อให้ได้ผลผลิตที่มีคุณภาพและเพียงพอต่อความต้องการของตลาด หากพิจารณาถึงด้านการตลาด
กลุ่มเกษตรกรจะจำหน่ายผลผลิตให้กับ Tops supermarket ซึ่งมีความต้องการผลผลิต ไม่จำกัด โดยจะส่งผลผลิตให้ประมาณ
5,000 กิโลกรัม/สัปดาห์ และส่งร้านขายของฝากในจังหวัดและต่างจังหวัด
อีกทั้ง ยังมีพ่อค้าทั่วไปมารับซื้อผลผลิตถึงพื้นที่อีกด้วย
นอกจากนี้ ยังมีการจำหน่ายปลีกหน้าร้านชื่อ
โกดังเมล่อน และทางออนไลน์ผ่านเฟสบุ๊ค ป๋องเมล่อน และ Pum Puangmee โดยได้รับผลตอบรับจากลูกค้าเป็นอย่างดี ซึ่งการขายออนไลน์จะขายได้ราคาดีกว่าการขายส่ง
แต่ปริมาณน้อยกว่า จึงต้องขายควบคู่กันเพื่อกระจายความเสี่ยง (สัดส่วนการขายส่งร้อยละ
50 ส่งพ่อค้าทั่วไป ร้อยละ 20 ขายหน้าร้าน และออนไลน์ร้อยละ 20
และส่งร้านขายของฝากร้อยละ 10 ของผลผลิต) ทั้งนี้ เกษตรกรหรือท่านใดที่สนใจข้อมูลการผลิตและการตลาดเมล่อนในจังหวัดกาญจนบุรี สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ สศท.10 โทร. 0 3233 7951 หรืออีเมล zone10@oae.go.th หรือสามารถขอคำปรึกษา
นายอาทิตย์ นิยมวงษ์ ประธานกลุ่มวิสาหกิจผู้ปลูกเมล่อน สวนกิตติยาฟาร์ม ตำบลลาดหญ้า
อำเภอเมืองกาญจนบุรี จังหวัดกาญจนบุรี โทร. 08 1019 5674
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น