จังหวัดเพชรบูรณ์
นับเป็นแหล่งปลูกยาสูบแหล่งใหญ่อีกแห่งหนึ่งของประเทศ โดยเฉพาะพื้นที่ อ.หล่มสัก
ยาสูบเป็นพืชสร้างอาชีพ
สร้างชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นให้กับเกษตรกรที่นี่มายาวนานมากกว่า 40 ปี
นับตั้งแต่โรงงานยาสูบ (ปัจจุบันเปลี่ยนเป็นการยาสูบแห่งประเทศไทย) เข้ามาส่งเสริมปลูก
การปลูกยาสูบ อาชีพยาสูบมีการพัฒนาและเข้มแข็งขึ้นอย่างต่อเนื่อง
จนก่อตั้งสมาคมชาวไร่ยาสูบเบอร์เลย์
จังหวัดเพชรบูรณ์ขึ้นเพื่อสร้างความเข้มแข็งให้กับเกษตรกรชาวไร่ยาสูบ
ปัจจุบันมีสมาชิกกว่า 850 คน พื้นที่ปลูกเกือบ 3,000 ไร่
นายสงกรานต์ ภักดีจิตร
นายกสมาคมชาวไร่ยาสูบเบอร์เลย์ จังหวัดเพชรบูรณ์ เล่าว่า
ชาวบ้านที่นี่ทำนาเป็นอาชีพหลัก หลังฤดูทำนาก็จะปลูกยาสูบเป็นพืชหลังนา
แต่รายได้จากยาสูบสูงกว่าทำนาหลายเท่าตัว
โดยฤดูกาลปลูกยาสูบจะเริ่มในช่วงปลายเดือน พ.ย.-ธ.ค. ที่นี่จะปลูกยาสูบสายพันธุ์เบอร์เลย์เป็นหลัก
โดยในแต่ละปีเกษตรกรจะไปขอโควตาเพื่อกำหนดพื้นที่และปริมาณการปลูก
พื้นที่ปลูกยาสูบแต่ละปีประมาณ 2,000-3,000 ไร่ แต่ละรายจะปลูกกันตั้งแต่ 3 ไร่ 5 ไร่ ไปจนถึง 10 ไร่
ยาสูบเป็นพืชที่มีตลาดรองรับและมีการประกันราคารับซื้อที่แน่นอนจากการยาสูบฯ
ทำให้ชาวบ้านไม่ต้องเสี่ยงกับตลาด โดยราคารับซื้อปัจจุบันอยู่ที่ 76.10
บาท/กก.(แห้ง)
เพิ่งปรับราคารับซื้อในปีนี้ตามราคาปัจจัยการผลิตและค่าแรงที่สูงขึ้น
ก่อนหน้านี้ราคารับซื้อยาสูบอยู่ที่ 69 บาท/กก. มายาวนานเกิน 10 ปี
แม้เกษตรกรก็ยังพอมีกำไรแต่ต้นทุนการผลิตก็สูงขึ้นเรื่อยๆ
จนชาวไร่มีการเรียกร้องขอปรับราคารับซื้อไปหลายครั้ง จนได้ปรับราคาในปีนี้
ยาสูบนับว่าเป็นพืชระยะสั้นที่สร้างรายได้ที่ดี
โดยใช้เวลาตั้งแต่ปลูกถึงเก็บเกี่ยวได้เพียง 70 วันเท่านั้น
ใช้เวลาเก็บเกี่ยวใบยาสูบประมาณ 30-40 วัน ก็จะหมดฤดูกาล โดยผลผลิต 1 ไร่
ขั้นต่ำจะอยู่ที่ 400 กก./ไร่(น้ำหนักแห้ง) แปลงไหนที่ดูแลดี ผลผลิตจะสูงขึ้นเป็น
500-600 กก./ไร่ เลยทีเดียว
นอกจากนี้ยาสูบยังเป็นพืชที่มีโอกาสเสียหายจากโรค-แมลงน้อย การดูแลจัดการก็ต่ำ
เกษตรกรจะใส่ปุ๋ยเพียง 3-4 ครั้งต่อฤดูกาล และให้น้ำ 7-10 วันต่อครั้ง
หากมีปัญหาโรค-แมลงก็จะพ่นสารเคมีบ้าง แต่ก็ถือว่าไม่มาก โดยมีต้นทุนการผลิตประมาณ
12,000-15,000 บาทต่อไร่ มีรายได้ 20,000-22,000 บาท/ไร่
ซึ่งก็นับว่าเป็นพืชที่สร้างรายได้และสร้างชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีให้กับเกษตรกรมาโดยตลอด
แต่ช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา อาชีพการปลูกยาสูบได้รับผลกระทบจากหลายปัญหา
จนทำให้ชาวไร่ได้รับความเดือดร้อนและมีการรวมตัวเพื่อขอความช่วยเหลือและเสนอแนวทางเพื่อหาทางออกร่วมกันกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
เพื่อให้อาชีพการปลูกยาสูบได้เป็นอาชีพที่ยั่งยืนให้กับชาวไร่ต่อไป
ก่อนที่ผลกระทบดังกล่าวจะทำให้ชาวไร่ไม่สามารถปลูกยาสูบได้อีกต่อไปและยาสูบจะหายไปจากประเทศไทย
ปัญหาร่างกฎหมายการแบนส่วนประกอบของบุหรี่
กระทรวงสาธารณสุข
ได้เสนอให้สั่งห้ามมิให้มีการเติมส่วนประกอบและสารปรุงแต่งที่มีความจำเป็นอย่างยิ่งในการผลิตบุหรี่
รวมถึงเมนทอลอย่างเด็ดขาด ซึ่งหากร่างฯ ดังกล่าวผ่านออกมาเป็นกฎหมายการผลิตบุหรี่แบบทุกวันนี้จะไม่สามารถทำได้
ก่อให้เกิดผลทางลบอย่างมากต่ออาชีพของชาวไร่เพราะความต้องการใบยาของการยาสูบฯ
ก็จะหมดไป ชาวไร่และพนักงานการยาสูบฯ หมดอาชีพแน่นอน
ชาวไร่ยาสูบได้มีการร้องเรียนไปยังหน่วยงานรัฐบาลที่เกี่ยวข้อง ซึ่งหน่วยงานต่างๆก็เห็นพ้องเป็นเสียงเดียวกันว่าเป็นร่างกฎหมายที่สร้างผลกระทบกับสังคม
ก่อนหน้านี้สำนักงานเลขาธิการรัฐมนตรีได้เล็งเห็นในปัญหาของร่างฯ
จนมีการตีกลับร่างฯมาแล้ว จนถึงตอนนี้หน่วยงานที่จัดทำร่างฯ ได้มีการส่งร่างฯ
กลับมาพิจารณาทั้งๆที่ยังไม่มีการแก้ไขตามที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องที่เสนอแนะไป
รวมทั้งไม่เคยได้มาพูดคุยรับฟังชาวไร่ซึ่งเป็นผู้ได้รับผลกระทบเลย
ตอนนี้เรื่องกลับไปรออยู่ที่สำนักเลขาธิการนายกฯ เป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ข้อเสนอของภาคีชาวไร่ยาสูบ
ในฐานะภาคยาสูบที่ต้องปกป้องอาชีพการปลูกยาสูบ
ภาคีชาวไร่ยาสูบขอคัดค้านร่างฯฉบับที่ยังไม่ได้รับการแก้ไขนี้ ให้มีการบังคับใช้
เพราะหากมีการบังคับใช้แล้วจะส่งผลต่ออาชีพของชาวไร่ยาสูบกว่า 30,000 ครอบครัว
จะต้องสูญสิ้นอาชีพในทันทีที่มีการประกาศใช้ร่างฯฉบับนี้
ปัญหาโครงสร้างอัตราภาษีบุหรี่
ภาษีสรรพสามิตยาสูบปี 2560 ที่มีการบังคับใช้ทำให้อุตสาหกรรมยาสูบหดตัวลงอย่างมาก
ผลที่ได้คือรัฐบาลเก็บรายได้ภาษียาสูบได้ลดลงอย่างต่อเนื่องนับจากปี 2560
ที่เก็บได้ 6.8 หมื่นล้านบาท เหลือเพียง 5.9 หมื่นล้านบาทในปี 2565 5 ปีที่ผ่านมา
เห็นได้ชัดแล้วว่าภาษีสรรรพสามิตแบบ 2 อัตรานั้น ทำให้ การยาสูบฯ
ไม่สามารถแข่งขันกับบุหรี่นอกได้
เพราะราคาบุหรี่มากระจุกตัวกันอยู่ในช่วงราคาเดียวที่ 66-70 บาท
ส่งผลให้ผลกำไรของการยาสูบฯ ลดลงกว่า 98% โดยในปี 2560 มีกำไร 9 พันล้านบาท
ลดลงเหลือเพียงประมาณ 100 ล้านบาทในปี 2565
ชาวไร่ยาสูบก็ได้รับผลกระทบไปด้วยจากการที่การยาสูบฯขายได้น้อยลงจึงได้มีการสั่งลดโควต้าการรับซื้อจากชาวไร่ยาสูบลงเช่นกัน
อีกทั้งยังไม่สามารถหาเงินมาช่วยเหลือค่าปัจจัยการผลิตของชาวไร่ยาสูบที่ได้รับผลกระทบได้เต็มจำนวน
จนต้องมีการทำเรื่องขอเงินสนับสนุนจากงบกลางจากรัฐบาล
นอกจากนี้การขึ้นภาษียาสูบยังเป็นปัจจัยหลักที่มีการนำเข้าบุหรี่หนีภาษีเพิ่มมากขึ้นโดยปัจจุบันมีบุหรี่หนีภาษี/บุหรี่เถื่อน/บุหรี่ปลอม
มากกว่า 10% ของบุหรี่ที่ขายในท้องตลาด
ข้อเสนอของภาคีชาวไร่ยาสูบ
รัฐบาลควรมีนโยบายแก้ไขโครงสร้างภาษีบุหรี่ใหม่
ทบทวนภาษีแบบ 2 อัตรา ว่ายังเหมาะสมหรือไม่หรือควรปรับไปใช้อัตราเดียวแบบตามที่นักวิชาการและผู้เชี่ยวชาญต่างๆ
เสนอแนะกันตามที่ปรากฏในข่าวสื่อมวลชน
และควรหยุดขึ้นภาษียาสูบไปก่อนจนกว่าการยาสูบฯจะฟื้นตัวได้
การจัดตั้งกองทุนเพื่อดูแลชาวไร่ยาสูบ
ชาวไร่ยาสูบรวมทั้งการปลูกยาสูบไม่มีหน่วยงานที่สามารถดูแลเราได้อย่างเต็มที่
เพราะพืชยาสูบไม่ได้อยู่ภายใต้การดูแลของกระทรวงเกษตรฯ
ที่มีความถนัดในเรื่องปัญหาด้านการเกษตร แต่อยู่ภายใต้การดูแลของการยาสูบฯ
กระทรวงการคลังที่มีความชำนาญในเรื่องของการเงิน การเก็บภาษี
พอประสบปัญหาต่างๆทั้ง ภัยธรรมชาติ รวมทั้งปัญหาจากนโยบายของรัฐบาลที่มาจากการควบคุมยาสูบและการจัดทำโครงสร้างภาษีบุหรี่
จึงไม่มีหน่วยงานไหนที่เข้ามาดูแลชาวไร่ยาสูบโดยตรง
อีกทั้งยังไม่มีการจัดตั้งกองทุนชาวไร่ยาสูบที่เป็นรูปธรรม
ซึ่งส่งผลให้ชาวไร่ยาสูบต้องออกมาเรียกร้องกับรัฐบาลโดยตรงเพื่อให้เข้ามาช่วยเหลือปัญหาของชาวไร่ยาสูบ
ข้อเสนอของภาคีชาวไร่ยาสูบ
ขอเสนอให้มีการแบ่งเงินจากกองทุนต่างๆ
มาดูแลชาวไร่ยาสูบอย่างเป็นรูปธรรม
โดยไม่ต้องเพิ่มงบประมาณในการดูแลชาวไร่ยาสูบและไม่ต้องขอแบ่งเงินจากงบกลางของรัฐบาลที่จะต้องนำไปใช้ในเรื่องจำเป็นอื่นๆอีกต่อไปในอนาคต
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น