กรมประมงเผยแผนฟื้นฟูและอนุรักษ์สัตว์น้ำหายากหรือใกล้สูญพันธุ์ตั้งเป้าเพาะขยายพันธุ์สัตว์น้ำ
รวม 39 ชนิด เป็นสัตว์น้ำจืด 36 ชนิด
สัตว์ทะเล จำนวน 3 ชนิด ซึ่งสัตว์ทะเล ได้แก่ “หอยหวาน ฉลามกบ และปลิงทะเล” เดินหน้าจัดกิจกรรมสนับสนุนตามแผนงานยุทธศาสตร์การเกษตรสร้างมูลค่า
ภายใต้โครงการบริหารจัดการทรัพยากรประมงปี 2564 จากนโยบายของรัฐบาลมอบหมายให้คณะกรรมการนโยบายประมงแห่งชาติให้ความสำคัญเรื่องการอนุรักษ์พันธุ์สัตว์เพื่อคงไว้ซึ่งความหลากหลายทางชีวภาพโดยเฉพาะสัตว์น้ำหายากหรือใกล้สูญพันธุ์
อาทิ “ฉลาม” ซึ่งมีแผนบริหารจัดการที่ได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการฯ
เรียบร้อยแล้ว
กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้ขานรับกับนโยบายดังกล่าวจึงมอบหมายให้กรมประมงจัดกิจกรรมเพื่อการอนุรักษ์และการบริหารจัดการฉลามของประเทศไทยด้วยการปล่อยฉลามที่ได้จากการขยายพันธุ์คืนสู่ธรรมชาติ
ดร.วิชาญ อิงศรีสว่าง รองอธิบดีกรมประมง
กล่าวว่า
การขยายพันธุ์พันธุ์ฉลามกบซึ่งเป็นสัตว์น้ำที่อาศัยอยู่ในแนวปะการังปล่อยคืนสู่แหล่งน้ำธรรมชาติเป็นหนึ่งในกิจกรรมภายใต้แผนปฏิบัติการแห่งชาติเพื่อการอนุรักษ์และการบริหารจัดการฉลามของประเทศซึ่งลูกปลาฉลามกบที่กรมประมงปล่อยคืนสู่ธรรมชาตินั้น
เกิดจากการผสมพันธุ์ของพ่อ-แม่พันธุ์ที่ถูกรวบรวมจากธรรมชาติตั้งแต่ปี 2563
และดำเนินการเพาะขยายพันธุ์โดยศูนย์วิจัยและพัฒนาประมงทะเลระยอง โดยในปี 2564
สามารถเพาะขยายพันธุ์ลูกปลาฉลามกบประสบความสำเร็จพร้อมวางแผนปล่อยคืนสู่ธรรมชาติ
จำนวน 100 ตัว ซึ่งก่อนหน้านี้ได้ทยอยปล่อยไปแล้วจำนวน 20 ตัว และครั้งล่าสุดนี้ปล่อยเพิ่มอีกจำนวน 40 ตัว
โดยฉลามกบที่ปล่อยครั้งนี้ มีอายุ 60 วัน ขนาดความยาว 15 – 18 เซนติเมตร
เป็นเพศผู้จำนวน 29 ตัว และเพศเมียจำนวน 11 ตัว ปล่อยบริเวณเกาะมันนอกเนื่องจากบริเวณดังกล่าวเป็นที่ที่มีสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม
อีกทั้งมีแหล่งอาศัยสัตว์ทะเล (ปะการังเทียม) ของกรมประมงซึ่งเป็นที่หลบภัยได้ดี
คุณภาพน้ำดี
และมีการพบปลาฉลามกบอาศัยอยู่ทำให้บริเวณดังกล่าวมีความเหมาะสมและปลอดภัย
“ฉลาม”จัดเป็นสัตว์น้ำที่สำคัญในห่วงโซ่อาหาร เนื่องจากการมีอยู่ของฉลามคือหลักประกันความสมดุลของโครงสร้างประชากรปลาทะเลเพราะในฐานะนักล่าลำดับสูงสุดฉลามทำหน้าที่กำจัดปลาที่เชื่องช้าป่วยหรือใกล้หมดอายุตามวัยช่วยคัดสรรสายพันธุ์ปลาอื่น
ๆ
ให้แข็งแรงรักษาสมดุลประชากรปลากินพืชให้อยู่ในระดับพอเหมาะไม่สร้างความเสียหายให้กับถิ่นที่อาศัย
ขณะเดียวกันยังควบคุมพฤติกรรมของปลากินเหยื่อขนาดรองๆ
ลงมาให้สามารถแบ่งสรรกันใช้ทรัพยากรได้อย่างเหมาะสมซึ่งความหลากหลายของสายพันธุ์สิ่งมีชีวิตนี่เองที่ทำให้ท้องทะเลมีชีวิตชีวาและดึงดูดนักท่องเที่ยวให้มาชื่นชมความงามของโลกใต้ท้องทะเล
นายธนัช ศรีคุ้ม ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยและพัฒนาประมงทะเลระยอง
กล่าวเพิ่มเติมว่าปลาฉลามกบ
เป็นฉลามที่อาศัยบริเวณพื้นท้องทะเลที่เป็นทรายหรือทรายปนโคลนตามชายฝั่งทะเล
และกองหินใต้น้ำตามแนวปะการัง
ในเขตน่านน้ำไทยสามารถพบได้ทั้งฝั่งอ่าวไทยและทะเลอันดามันมีพฤติกรรมชอบอยู่นิ่ง ๆ
ไม่ดุร้าย กินพืชและสัตว์น้ำขนาดเล็กเป็นอาหาร ทางศูนย์ฯ ได้ดำเนินการเพาะพันธุ์ลูกปลาฉลามกบ
โดยทำการเลี้ยงในบ่อเพาะฟัก
และนำไข่ที่ได้จากการฟักของพ่อ-แม่พันธุ์แยกไว้ในตะกร้าโดยวางไข่กระจายออกจากกันไม่ให้เกิดการทับซ้อนเพื่อง่ายต่อการดูแลและป้องกันการเน่าเสีย
สำหรับขั้นตอนการฟักไข่จะต้องทำความสะอาดและตรวจสอบไข่เป็นประจำทุกวันเพื่อแยกไข่เสีย
ในขณะเดียวกันต้องหมั่นตรวจสอบคุณภาพของน้ำ ทั้งอุณหภูมิ ความเค็ม
และความเป็นกรดด่างของน้ำที่ใช้ระหว่างขั้นตอนการฟักไข่
และเมื่อลูกปลาฉลามฟักออกจากไข่แล้ว จะนำไปแยกเลี้ยงในบ่ออนุบาล
โดยฝึกให้กินอาหารมีชีวิต เช่น ลูกกุ้ง ลูกปลา
เพื่อให้แน่ใจว่าลูกปลาฉลามเหล่านี้สามารถหาอาหารกินเองได้ในธรรมชาติก่อนที่จะทำการปล่อยลูกปลาฉลามกบคืนสู่ธรรมชาติ
รองอธิบดีฯ กล่าวในตอนท้ายว่า
สำหรับประชาชนผู้สนใจหากต้องการศึกษาพฤติกรรรมการดำรงชีวิตฉลามสายพันธุ์นี้
สามารถชมได้ที่ สถานแสดงพันธุ์สัตว์น้ำระยอง (Rayong
Aquarium) ถือเป็นแลนด์มาร์คอีกแห่งหนึ่งของจังหวัดระยอง
ตั้งอยู่เลขที่ 2 หมู่ 2 ต.เพ
อ.เมืองระยอง จ.ระยอง ภายในสถานแสดงฯ
นอกจากจะมีการจัดแสดงฉลามกบแล้วยังได้รวบรวมและจัดแสดงพันธุ์สัตว์น้ำมีชีวิต
สัตว์น้ำสวยงามและสัตว์น้ำที่หายาก ตลอดจนความรู้เกี่ยวกับอาชีพการทำการประมง
เรือประมง และเครื่องมือประมงชนิดต่างๆ จากในส่วนนิทรรศการและพิพิธภัณฑ์
อันจะก่อให้เกิดความรักและหวงแหนในทรัพยากรสัตว์น้ำของไทย
โดยกำหนดเปิดให้บริการในวันพุธ-ศุกร์ เวลา 10.00 น. –
16.00 น. วันเสาร์-อาทิตย์และวันหยุดนักขัตฤกษ์
โดยเปิดให้บริการในเวลา 10.00 น. – 16.30 น.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น