กรมหม่อนไหมเดินหน้าส่งเสริมการเลี้ยงไหมอีรี่เพื่อผลิตสิ่งทอจากเส้นใย
และป้อนเอกชนผลิตโปรตีนผงจากดักแด้เป็นอาหารคนและสัตว์
ขานรับนโยบายอาหารจากแมลงของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ใช้แรงงานน้อย ได้เงินเร็ว
เป็นอาชีพเสริมเพิ่มรายได้ ทางเลือกสำหรับเกษตรกรผู้ปลูกมันสำปะหลัง
นายปราโมทย์ ยาใจ
อธิบดีกรมหม่อนไหม เปิดเผยว่า
การผลิตเส้นใยไหมจากธรรมชาติที่รู้จักกันดีก็คือไหมที่กินใบหม่อนเป็นอาหาร
นอกจากเส้นใยไหมธรรมชาติที่ได้จากไหมหม่อนแล้ว
ยังมีไหมอีกชนิดหนึ่งที่เกษตรกรสามารถเลี้ยงและบริหารจัดการได้ในโรงเรือนจนครบวงจรก็คือไหมอีรี่
ซึ่งเป็นไหมที่กินใบมันสำปะหลังหรือใบละหุ่งเป็นอาหาร เส้นใยจากรังไหมอีรี่นั้น
ผู้เลี้ยงสามารถดึงเส้นใยออกจากรังด้วยวิธีปั่น (Spun)
แบบเดียวกับการปั่นฝ้าย
และนำมาผลิตสิ่งทอที่ให้ความสวยงามเป็นเอกลักษณ์ และยังนำดักแด้มาผลิตเป็นอาหารของคนและสัตว์
โดยเฉพาะการผลิตโปรตีนจากแมลงตามนโยบายกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
ซึ่งกำลังได้รับความนิยมอย่างมาก
ไหมอีรี่เป็นแมลงที่มีโปรตีนสูงถึง 50 - 55% ซึ่งมีกรดอะมิโนที่สำคัญต่อร่างกายทั้ง 18 ชนิด
และมีกรดไขมันที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย ช่วยป้องกันหลอดเลือดอุดตัน ทั้งนี้
จากการวิจัยของกรมหม่อนไหมร่วมกับคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น
ได้ศึกษาพิษเฉียบพลัน และพิษกึ่งเรื้อรังของสารสกัดโปรตีนจากไหมอีรี่ในหนูแรท
พบว่าหนูที่ได้รับสารสกัดโปรตีนจากไหมอีรี่ขนาด 1,000
มิลลิกรัมต่อกิโลกรัมน้ำหนักตัว ไม่มีการเปลี่ยนแปลงที่บ่งชี้ถึงความเป็นพิษ
แสดงให้เห็นว่าโปรตีนสกัดจากไหมอีรี่เป็นแหล่งโปรตีนที่ปลอดภัย
มีประโยชน์และไม่แพง เหมาะแก่การเป็นโปรตีนทางเลือกในอนาคต
งานวิจัยของกรมหม่อนไหมยังพบว่าสามารถนำดักแด้ไหมอีรี่มาทดแทนถั่วเหลืองเลี้ยงไก่เนื้อ
ทำให้ได้ไก่เนื้อที่มีคุณภาพ และยังนำไหมอีรี่ไปเป็นส่วนประกอบของอาหารปลาสวยงาม
พบว่าช่วยเสริมรงควัตถุแคโรทีนอยด์ เพื่อเพิ่มสีผิว
และกระตุ้นภูมิคุ้มกันของปลาสวยงามได้
ทั้งนี้
กรมหม่อนไหมได้ส่งเสริมการเลี้ยงไหมอีรี่ด้วยใบมันสำปะหลังมาอย่างต่อเนื่องเป็นเวลาไม่น้อยกว่า
5 ปี
โดยอบรมให้ความรู้และผลิตไข่ไหมอีรี่แจกจ่ายให้กับเกษตรกรในหลายจังหวัด อาทิ
ขอนแก่น อุดรธานี ร้อยเอ็ด อำนาจเจริญ กาฬสินธุ์ สระแก้ว เป็นต้น
ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีการปลูกมันสำปะหลังที่เป็นอาหารของไหมอีรี่
ผลผลิตจากการเลี้ยงไหมอีรี่นั้น เกษตรกรจะนำไปจำหน่ายและแปรรูปในตลาดชุมชนเป็นหลัก
โดยไหม 1 ซอง ใช้ใบมันสำปะหลังในการเลี้ยงประมาณ 1 ไร่ ได้ผลผลิตรังไหมสด 30 กิโลกรัม
เกษตรกรจะปาดรังไหมเพื่อนำดักแด้ออกจากรัง ได้น้ำหนักรังไหม 3 กิโลกรัม จำหน่าย ราคากิโลกรัมละ 350 - 400 บาท
ได้น้ำหนักดักแด้ 27 กิโลกรัม จำหน่ายเป็นอาหาร กิโลกรัมละ 100
- 180 บาท หรือนำรังไหมไปสาวเป็นเส้นไหมฟอก ย้อมและทอ
จำหน่ายเป็นผืน เมตรละ 600 - 2,000 บาท
(ขึ้นอยู่กับประเภทของผ้าไหม) และปัจจุบัน
มีผู้ประกอบการที่ได้พัฒนาผลิตภัณฑ์อาหารที่ผลิตจากไหมอีรี่และโปรตีนจากแมลง
เพื่อทดแทนการบริโภคเนื้อสัตว์ โดยบริษัทจะรับซื้อรังไหมอีรี่สดที่ไม่ได้ปาดรัง
ราคากิโลกรัมละ 100 – 115 บาท
ซึ่งกำลังได้รับความนิยมจากเกษตรกรอย่างมาก
เนื่องจากไม่ต้องใช้แรงงานในการปาดรังไหม และได้รับเงินเร็วขึ้น
เพราะใช้เวลาเลี้ยงไหมเพียง 19 - 22 วัน
ก็สามารถจำหน่ายรังไหมสดได้ หากเกษตรกรเลี้ยงไหมรอบละ 2 ซอง
ก็จะมีรายได้ไม่ต่ำกว่า 6,000 บาทต่อเดือน
“ปัจจุบันผู้ประกอบการมีความต้องการผลผลิต
จำนวน 25 - 30 ตัน/เดือน
แต่เกษตรกรผู้เลี้ยงไหมอีรี่สามารถจำหน่ายผลผลิตให้กับบริษัทได้ จำนวน 8 -
12 ตัน/เดือนเท่านั้น จึงเป็นโอกาสสำหรับเกษตรกรผู้ปลูกมันสำปะหลังที่สามารถเลี้ยงไหมอีรี่เป็นอาชีพเสริมเพิ่มรายได้
นอกเหนือจากการจำหน่ายหัวมันสำปะหลังอย่างเดียว
ซึ่งมีข้อมูลวิจัยพบว่าการเก็บใบมันสำปะหลังมาเลี้ยงไหมอีรี่นั้น หากเก็บไม่เกิน 30
เปอร์เซ็นต์ของต้น ยังคงสามารถเพิ่มผลผลิตของมันสำปะหลังได้เป็นอย่างดี
สำหรับผู้สนใจเลี้ยงไหมอีรี่เป็นอาชีพหลักหรือเป็นอาชีพเสริม
สามารถติดต่อขอคำแนะนำได้ที่ ศูนย์หม่อนไหมเฉลิมพระเกียรติฯ ทั่วประเทศ” อธิบดีกรมหม่อนไหม กล่าว
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น