สถานการณ์น้ำท่วมจากผลกระทบพายุหลายลูกที่พัดผ่านประเทศในช่วงที่ผ่านมา
ทำให้ 33 จังหวัด กลายเป็นพื้นที่ประสบอุทกภัย
สร้างความทุกข์ให้กับประชาชนเป็นวงกว้าง
โดยเฉพาะเกษตรกรทั้งภาคการเพาะปลูกและภาคปศุสัตว์ หนึ่งในกลุ่มที่ได้รับผลกระทบอย่างมากคือ
เกษตรกรผู้เลี้ยงหมู ที่ปีนี้ได้เห็นภาพการขนหมูหนีน้ำท่วมในหลายจุด
มีหมูเสียหายจากเหตุการณ์นี้เป็นจำนวนมาก
ซึ่งกว่าจะพลิกฟื้นฟาร์มให้กลับมาเลี้ยงหมูได้ตามปกติก็ต้องใช้ระยะเวลาค่อนข้างมาก
ทั้งซ่อมแซม ทำความสะอาด
และพักโรงเรือนตามมาตรฐานเพื่อป้องกันโรคต่างๆที่อาจมากับน้ำ และก่อความเสียหายให้กับฝูงสัตว์ได้
ขณะเดียวกัน
เกษตรกรหลายรายกังวลกับสถานการณ์น้ำท่วมที่เกิดขึ้น จึงตัดใจขายหมูออกก่อนกำหนด
ดีกว่าปล่อยหมูจมน้ำ
ประกอบกับความกังวลว่าพื้นที่น้ำท่วมติดปัญหาโรงฆ่าสัตว์ปิดตัว
ไม่สามารถนำหมูขุนเข้าโรงฆ่าได้ และปัญหาด้านการเดินทางที่ไม่สะดวก
กระทบกับการส่งหมูไปโรงฆ่า จึงมีปริมาณหมูออกสู่ตลาดมาก
ส่งผลต่อราคาหมูหน้าฟาร์มที่เกษตรกรขายได้ลดลงค่อนข้างมาก
นี่คือทุกข์ที่คนเลี้ยงหมูได้รับ
ขณะเดียวกัน
ยังมีทุกข์หนักที่ส่งผลกับผู้เลี้ยงมาเกือบ 1
ปี จากราคาวัตถุดิบอาหารสัตว์ที่พุ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องมาตั้งแต่ปลายปี 2563 เป็นต้นมา โดยเฉพาะราคาข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ที่ปรับขึ้นไปถึง 10.85 บาท/กิโลกรัม และยังมีแนวโน้มราคาเพิ่มขึ้นต่อไป
แม้จะมีการคาดการณ์ว่าปริมาณผลผลิตข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ของไทยในปี 2564 นี้ จะมีมากขึ้นอยู่ในระดับ 4.8 ล้านตัน เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้าที่ผลิตได้
4.7 ล้านตัน หรือเพิ่มขึ้น 2% ก็ตาม
แต่ยังไม่เพียงพอกับความต้องการใช้ในภาคการผลิตอาหารสัตว์ที่มีมากถึง 8.4 ล้านตันต่อปี เท่ากับว่าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ในประเทศไทยผลิตได้เพียง 57% ของความต้องการในประเทศเท่านั้น ขณะที่ราคาวัตถุดิบอาหารสัตว์ชนิดอื่น
ก็สูงขึ้นเช่นเดียวกัน ทั้งกากถั่วเหลืองจากเมล็ดถั่วเหลืองนำเข้า
ที่ราคาสูงถึงกิโลกรัมละ 19.80 บาท
ด้านราคาปลายข้าวอยู่ที่กระสอบละ 1,100 บาท
ภาระหนักจึงตกกับเกษตรกรเลี้ยงหมู
ที่ต้องใช้ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์เป็นส่วนผสมในสูตรอาหารมากถึง 50% โดยเฉพาะเกษตรกรรายย่อยที่ประสบกับปัญหาการขาดทุนสะสมนานกว่า
3 ปี ในช่วงก่อนหน้านี้ และยังต้องมีเจ็บซ้ำ
จากการแบกรับภาระขาดทุนอย่างหนักมานานกว่า 7 เดือน
จากภาวะโรคเพิร์ส หรือ PRRS ที่สร้างความเสียหายให้กับอุตสาหกรรมหมูในทุกภูมิภาค
สมาคมผู้เลี้ยงสุกรภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
ให้ข้อมูลว่าแม่พันธุ์หมูทั่วประเทศได้รับความเสียหายประมาณ 30 - 40 % จากภาวะปกติแม่พันธุ์หมูทั่วประเทศมีปริมาณ 1.2 ล้านตัว แต่ปัจจุบันมีปริมาณเพียง 7-8 แสนตัว ทำให้คาดว่าไทยจะมีการผลิตหมูขุนจำนวน 15
ล้านตัวต่อปี จากเดิมที่มีการผลิตอยู่ที่ 19-20 ล้านตัวต่อปี
หรือลดลง 25 % มีการประเมินความเสียหายช่วง 7-8 เดือน จากราคาขายหมูขุนต่ำกว่าต้นทุนทั้งประเทศอยู่ที่ 8,000-10,000 ล้านบาท โดยราคาหมูเคยลดลงไปต่ำสุดที่ 56
บาทต่อกิโลกรัม แม้ว่าวันนี้ราคาหมูจะอยู่ที่ 80
บาทต่อกิโลกรัม ตามความต้องการบริโภคเนื้อหมูมีแนวโน้มที่จะปรับตัวเพิ่มขึ้นหลังการเปิดประเทศ
สวนทางกับปริมาณหมูขุนที่ออกสู่ตลาดที่ลดลง จากสถานการณ์น้ำท่วม
และการชะลอการเลี้ยงเพื่อลดความเสี่ยงเรื่องโรคในหมูของเกษตรกรผู้เลี้ยงหมูทั้งรายย่อย
รายกลาง และรายใหญ่ แต่ก็ยังไม่สามารถก้าวข้ามต้นทุนการเลี้ยงหมูเฉลี่ยไตรมาส 3/2564 ที่สูงถึง 80.03 บาทต่อกิโลกรัม
ตามตัวเลขของสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.)
ขณะที่การป้องกันโรค ASF ในหมู
ที่เกษตรกรต้องเพิ่มความเข้มงวดกับระบบความปลอดภัยทางชีวภาพ (Biosecurity) สูงสุด ยิ่งในเกษตรกรรายย่อยด้วยแล้ว หากประสบปัญหาเรื่องโรคแล้ว
การจะกลับมาเลี้ยงใหม่นั้นทำได้ยาก ฟาร์มต่างๆจึงยกระดับการป้องกันโรคอย่างเข้มงวด
กลายเป็นต้นทุนแฝง ส่งผลให้มีต้นทุนการสูงขึ้นอีก 4-5
บาทต่อกิโลกรัม
ทุกข์ของเกษตรกร
จากผลกระทบของราคาวัตถุดิบอาหารสัตว์ที่ปรับขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ซ้ำเติมความเดือดร้อนทั้งจากภาวะน้ำท่วม และโรคในหมู
ที่ส่งผลโดยตรงต่อต้นทุนการเลี้ยงของเกษตรกร
ในช่วงนี้ขอความเห็นใจภาครัฐปล่อยตามกลไกราคาที่แท้จริง
รวมถึงขอความเข้าใจจากผู้บริโภคในสถานการณ์ที่เกษตรกรต้องประสบอยู่ ก่อนคนเลี้ยงหมูจะหมดแรงสู้เลิกเลี้ยงหมูไป
เพราะวันนั้นคนที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดคือประชาชนคนไทยนั่นเอง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น