นายประพัฒน์ ปัญญาชาติรักษ์
ประธานสภาเกษตรกรแห่งชาติ เปิดเผยว่า
จากการประชุมคณะอนุกรรมาธิการศึกษาผลกระทบด้านการเกษตรและพันธุ์พืชเพื่อให้ข้อมูล
ข้อเท็จจริง
ข้อคิดเห็นในประเด็นผลกระทบด้านการเกษตรกรรมจากการเข้าร่วมความตกลงที่ครอบคลุมและก้าวหน้าสำหรับหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจภาคพื้นแปซิฟิก
(CPTPP)
เมื่อวันที่ 10 กรกฎาคม 2563 ณ ห้องประชุมคณะกรรมาธิการ (สผ.) 419 อาคารรัฐสภา
สภาเกษตรกรแห่งชาติได้ศึกษาเนื้อหาในความตกลง CPTPP ตลอดจนศักยภาพเงื่อนไขความพร้อมของภาคส่วนต่างๆที่เกี่ยวข้อง
โดยเฉพาะเกษตรกรและภาคเกษตรกรรมของประเทศไทยยิ่งมีความห่วงกังวล
หากรัฐบาลจะตัดสินใจเข้าเป็นภาคีสมาชิก
เนื่องจากมีแนวโน้มที่จะก่อให้เกิดผลกระทบเชิงลบอย่างกว้างขวางต่อภาคเกษตร
และแน่นอนเกษตรกรรายย่อยที่ยากจนมีความด้อยโอกาสในด้านต่างๆ
รวมทั้งผลกระทบต่อเนื่องเป็นลูกโซ่ในภาคส่วนที่เกี่ยวข้องตลอดจนความหลากหลายทางชีวภาพ
การพึ่งพาตนเองในด้านพันธุ์พืชส่งผลไปยังความมั่นคงด้านอาหาร เนื่องจากความตกลง CPTPP
มีข้อบัญญัติว่าให้ประเทศสมาชิกต้องเข้าร่วมอนุสัญญา UPOV
1991
ซึ่งการเข้าร่วมจะส่งผลให้ไทยต้องปรับปรุงพ.ร.บ.คุ้มครองพันธุ์พืช พ.ศ.2542 ให้สอดคล้องซึ่งอาจส่งผลกระทบถึงอธิปไตยคนในชาติด้วย
ทั้งนี้
สภาเกษตรกรแห่งชาติมีความเห็นว่าความตกลง CPTPP มีขอบเขตกว้างขวางมากถึง
30 เรื่อง/ข้อบท
และประโยชน์ที่ประเทศไทยจะได้รับยังไม่ชัดเจน นอกจากนี้ประเทศสมาชิกความตกลงฯ 11 ประเทศ มีเพียงเม็กซิโกกับแคนาดาเท่านั้นที่ยังไม่เปิดเสรีทางเศรษฐกิจกับประเทศไทย
นอกนั้น 9
ประเทศล้วนเปิดเสรีทางเศรษฐกิจกับประเทศไทยภายใต้กรอบความตกลงต่างๆไปก่อนหน้าแล้วทั้งสิ้น
(กดอ่านข้อมูล : https://bit.ly/3je8fqb)
“รัฐบาลไม่ควรรีบเร่งจนขาดการพิจารณาอย่างรอบคอบ
ละเอียด รอบด้าน และต้องมีมาตรการเพื่อสร้างเสริมศักยภาพเป็นเงื่อนไขความพร้อมของเกษตรกรกับภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง
และดำเนินการให้เห็นผลเป็นรูปธรรมเป็นเบื้องต้นก่อน
ถึงเวลานั้นจะเข้าร่วมเป็นภาคีสมาชิกภายหลังเพื่อให้เกษตรกร ประชาชน
และประเทศชาติได้สามารถเข้าถึงและได้รับผลประโยชน์จากความตกลง CPTPP ได้อย่างเต็มที่ในวันที่เข้าเป็นภาคีสมาชิกก็ไม่สายเกินไป” นายประพัฒน์ กล่าว
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น