น.สพ.วิวัฒน์ พงษ์วิวัฒนชัย
อุปนายกสมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติ เปิดเผยว่า
อุตสาหกรรมการเลี้ยงสุกรของไทยในช่วงปลายปีเช่นนี้มีแนวโน้มสดใส
จากภาวะการบริโภคที่คึกคักเป็นปัจจัยสนับสนุน ทั้งการท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้น
ทำให้ความต้องการในบางภูมิภาคเพิ่มขึ้นอย่างมาก เช่นในภาคเหนือที่เข้าสู่ฤดูกาลท่องเที่ยว
ประกอบกับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลที่ได้ผลดีมากอย่างเช่นโครงการ
"คนละครึ่ง" ที่มีผู้ร่วมโครงการเป็นจำนวนมาก
ยิ่งทำให้การบริโภคอาหารจากเนื้อสุกรมากขึ้นถึง 100% จากช่วงก่อนหน้านี้
และมีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้นอีกในช่วงสิ้นปีและปีใหม่ที่อาจจะสูงถึง 300%
ด้วยเหตุนี้ทำให้บางพื้นที่ต้องการผลผลิตหมูเพิ่ม เพื่อรองรับการบริโภคที่มากขึ้น
สมาคมผู้เลี้ยงสุกรร่วมกับผู้เลี้ยง
จึงร่วมกันบริหารจัดการด้วยการส่งชิ้นส่วนสุกรหรือสุกรแปรรูป
จากภาคกลางไปเติมเต็มความต้องการดังกล่าว เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาการขาดแคลน
ส่วนประเด็นเรื่องโรคในสุกรที่มีกระแสข่าวในช่วงนี้
อุปนายกสมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติ กล่าวว่า
ขณะนี้เป็นช่วงรอยต่อของฤดูกาลปลายฝนต้นหนาวของปี
ที่ภาวะอากาศเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ส่งผลต่อสุขภาพสัตว์อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
เป็นเรื่องที่คนในวงการหมูต่างรับทราบและเข้าใจกับปัญหาที่เกิดขึ้นอยู่แล้ว
โดยได้เน้นย้ำเกษตรกรให้ดูแลสุขภาพสัตว์เป็นพิเศษ มีการป้องกันโรคอย่างเข้มงวด
ด้วยระบบความปลอดภัยทางชีวภาพ (Biosecurity
system) ในระดับสูงสุด สำหรับฟาร์มที่พบปัญหาสุขภาพสัตว์
หรือต้องสงสัยว่ามีโรคระบาด
ก็จะเข้าสู่มาตรการทําลายสัตว์ที่เป็นโรคระบาดหรือมีเหตุอันควรสงสัยว่าเป็นโรคระบาด
ตามพระราชบัญญัติโรคระบาดสัตว์ เพื่อขีดวงจำกัดไม่ให้แพร่กระจายไปยังฟาร์มอื่นๆ
ตามมาตรการควบคุมโรคติดต่อในสัตว์ของภาครัฐ และสอดคล้องกับมาตรฐานสากล
โดยโรคที่มักพบและเป็นโรคตามฤดูกาลอยู่แล้ว อาทิ PRRS (เพิร์ส)
และ APP ที่ติดต่อเฉพาะในสุกรไม่ติดต่อสู่คน
ซึ่งกรมปศุสัตว์ได้ติดตามอย่างใกล้ชิด ทำให้สามารถควบคุมโรคต่างๆ
ไม่ให้กระทบกับอุตสาหกรรมสุกรได้
“ผู้ผลิตสุกรและเกษตรกรต่างจับมือเหนียวแน่น
ในการป้องกันโรคติดต่อในสุกร เน้นการจัดการฟาร์มตามหลักความปลอดภัยทางชีวภาพอย่างเข้มแข็ง
ขณะเดียวกันยังคงบริหารจัดการผลผลิตให้เพียงพอต่อความต้องการในประเทศเป็นหลัก
ส่วนการส่งออกมีคณะกรรมการดูแลอยู่ ทั้งกรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ กรมปศุสัตว์
กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ สมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติ สมาคมพัฒนาธุรกิจสุกรไทย
และสมาคมผู้ผลิตและแปรรูปสุกรเพื่อการส่งออก โดยมีการรายงานภาวะการส่งออกต่อ
รมว.พาณิชย์ และรมว.เกษตรและสหกรณ์ ทุกๆ 15 วัน
จึงไม่ต้องกังวลว่าจะเกิดภาวะขาดแคลนสุกรภายในประเทศ
ส่วนผู้เลี้ยงก็ไม่ต้องกังวลว่าปริมาณภายในจะเหลือจนส่งผลกระทบต่อภาวะราคา
ขอให้มั่นใจและให้ความร่วมมือต่อเนื่อง รวมถึงอย่าตื่นตระหนกกับข่าวลือต่างๆ”
น.สพ.วิวัฒน์ กล่าว.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น