ในห้วงเวลาที่โควิด-19 ยังคงพ่นพิษทำให้หลายประเทศต้องระส่ำระส่าย
ทั้งเรื่องโรคที่ยังควบคุมไม่ได้ ระบบโลจิสติกที่แทบจะหยุดชะงัก
การขนส่งเคลื่อนย้ายสินค้ายากลำบาก
ส่งผลต่อความหวั่นวิตกในความมั่นคงและความปลอดภัยในอาหาร
ขณะที่ประเทศไทยมีความพร้อม
ทั้งในแง่ของความเพียงพอและมั่นคงในอาหาร เพื่อคนไทยและผู้บริโภคทั้งโลก
ที่สำคัญอาหารที่ผลิตได้นั้นมีความปลอดภัยในระดับสูง เรื่องนี้
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เฉลิมชัย ศรีอ่อน ย้ำว่า
ภายใต้ความมุ่งมั่นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยกรมปศุสัตว์ ในการผลักดันให้เกษตรกรและผู้ประกอบการ
ตระหนักและให้ความสำคัญกับความปลอดภัยในอาหารมาตั้งแต่ต้น ขณะเดียวกัน
ไทยยังมีชื่อเสียงทั้งด้านการป้องกันโรคในคนและโรคในสัตว์ติดระดับโลก
ยิ่งสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้บริโภคในตลาดโลกได้เป็นอย่างดี
การผลิตและการส่งออกสินค้าปศุสัตว์ โดยเฉพาะ “สุกร”
สินค้าปศุสัตว์ที่สำคัญและเป็นที่น่าจับตามอง จนกลายเป็น “สินค้าเรือธง” ในวิกฤตโควิด-19
ดังนั้น ปี 2563 นี้ จึงถือเป็น “ปีทองของหมูไทยอย่างแท้จริง”
สำหรับหัวเรือใหญ่ในการดำเนินการเรื่องนี้
อธิบดีกรมปศุสัตว์ นายสัตวแพทย์สรวิศ ธานีโต ให้ข้อมูลภาพว่า ไทยถือเป็นประเทศที่มีความโดดเด่นในระดับโลกด้านมาตรฐานความปลอดภัยในอาหาร
(Food Safety) จากการให้ความสำคัญอย่างยิ่งในเรื่องดังกล่าวมาโดยตลอด
ทำให้สินค้าปศุสัตว์ไทยเป็นที่ต้องการในตลาดโลก
สะท้อนจากความสามารถในการส่งออกหมูสู่ตลาดต่างประเทศ โดยเฉพาะความสำเร็จที่ไทยสามารถป้องกันโรคแอฟริกันสไวน์ฟีเวอร์
หรือ ASF โรคร้ายแรงในสุกรที่สร้างความเสียหายให้อุตสาหกรรมการเลี้ยงสุกรทั่วโลก
แต่ไทยยังคงสถานะ “ปลอดโรค ASF” มานานกว่า
2 ปี จนเป็นไข่แดงเพียงประเทศเดียวในภูมิภาคนี้
จุดนี้ทำให้สุกรไทยเป็นที่สนใจของตลาดต่างประเทศ ที่ต้องการนำเข้าสุกรจากฟาร์มที่ได้รับการรับรองมาตรฐาน
GAP ที่ปลอดภัย ปลอดโรค “ปลอดสารเร่งเนื้อแดง”
เพื่อป้อนผู้บริโภคของตนเอง โดยเฉพาะกลุ่มประเทศที่โดน ASF เล่นงาน ปริมาณผลผลิตในประเทศจึงลดลง ทำให้ราคาหมูมีชีวิตสูงขึ้น
ล่าสุดมีข่าวดีจากภาคผู้ผลิตสุกร ที่ได้ลงนาม MOU การส่งออกสุกรไปเวียดนาม
กัมพูชา และสปป.ลาว
ความสำเร็จดังกล่าวนี้
เกิดจากความร่วมมือของทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ที่ผนึกกำลังอย่างเหนียวแน่น
จนสามารถป้องกันความเสียหายไม่ให้เกิดกับเกษตรกรและอุตสาหกรรมการเลี้ยงหมู
ที่มีมูลค่าทางเศรษฐกิจรวมไม่ต่ำกว่า 200,000 ล้านบาท ที่สำคัญยังช่วยสร้างโอกาสในการส่งออกเฉพาะปี 2563 นี้ ไทยส่งออกสุกรมีชีวิตจำนวนมากกว่า 2.2 ล้านตัว
รวมถึงเนื้อสุกรและผลิตภัณฑ์สุกร มีปริมาณมากกว่า 54,000 ตัน
มีมูลค่าทะลุ 22,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นมากกว่า 300% จากปีที่ผ่านๆมา
ล่าสุดครม. อนุมัติงบฯกลางของสำนักนายกรัฐมนตรี
วงเงิน 1,111 ล้านบาท ให้กับกรมปศุสัตว์ เพื่อใช้ป้องกัน ASF
ตามข้อเสนอของคณะกรรมการนโยบายพัฒนาสุกรและผลิตภัณฑ์ (พิกบอร์ด)
ถือเป็นการยกระดับการป้องกันที่เข้มงวดขึ้น
และยังเป็นแรงหนุนสำคัญในการสร้างปราการป้องโรค ไม่ให้เกิดการแพร่ระบาดเข้าไทยได้
สำหรับหัวใจสำคัญของความสำเร็จในการเฝ้าระวัง
ป้องกัน และควบคุมโรค ASF และโรคอื่นๆในสุกร
ต้องยกเครดิตให้กับความร่วมมือของทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง นับตั้งแต่ กรมปศุสัตว์
ส่งเจ้าหน้าที่ระดมสรรพกำลังทั้งเฝ้าระวัง ป้องกัน และให้ความรู้ โดยเน้นย้ำเกษตรกรให้ดูแลสุขภาพสัตว์เป็นพิเศษ
มีการป้องกันโรคอย่างเข้มงวด ด้วยระบบความปลอดภัยทางชีวภาพ (Biosecurity
system) ในระดับสูงสุด
รวมถึงการควบคุมทุกๆโรคในสุกรอย่างเข้มงวด
สำหรับฟาร์มที่พบปัญหาสุขภาพสัตว์ หรือต้องสงสัยว่ามีโรคระบาด
ก็จะเข้าสู่มาตรการทําลายสัตว์ที่เป็นโรคระบาดหรือมีเหตุอันควรสงสัยว่าเป็นโรคระบาด
ตามพระราชบัญญัติโรคระบาดสัตว์ เพื่อขีดวงจำกัดไม่ให้แพร่กระจายไปยังฟาร์มอื่นๆ
ตามมาตรการควบคุมโรคติดต่อในสัตว์ของภาครัฐ และสอดคล้องกับมาตรฐานสากล
ซึ่งที่ผ่านมาผู้ผลิตสุกรและเกษตรกรต่างให้ความร่วมมือกับกรมปศุสัตว์
ในการป้องกันโรค
ทุกคนต่างเน้นการจัดการฟาร์มตามหลักความปลอดภัยทางชีวภาพอย่างเข้มแข็ง ตามหลัก “ป้องกันไว้ดีกว่าแก้”
ขณะเดียวกัน ทั้งภาครัฐ
สมาคมผู้เลี้ยงสุกร ภาคเอกชน และเกษตรกร
ยังคงบริหารจัดการผลผลิตให้เพียงพอต่อความต้องการในประเทศเป็นหลัก สำหรับปริมาณการผลิตสุกรขุนของไทยในปัจจุบันอยู่ที่
55,000 ตัวต่อวัน ขณะที่การบริโภคภายในประเทศอยู่ที่ 50,000 ตัวต่อวัน การผลิตจึงเพียงพอกับการบริโภคภายในประเทศ
สำหรับผลผลิตส่วนที่เกินจากการบริโภคนั้น
จะทำการส่งออกในรูปแบบสุกรขุน สุกรพันธุ์ ลูกสุกร ชิ้นส่วนและผลิตภัณฑ์
เพื่อนำเงินตราเข้าประเทศ โดยมีคณะกรรมการดูแล ทั้ง 5 หน่วยงานคือ กรมปศุสัตว์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์
สมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติ สมาคมพัฒนาธุรกิจสุกรไทย
และสมาคมผู้ผลิตและแปรรูปสุกรเพื่อการส่งออก ตามมติของพิกบอร์ด โดยมีการรายงานภาวะการส่งออกต่อ
รมว.พาณิชย์ และ รมว.เกษตรและสหกรณ์ ทุกๆ 15 วัน
“ผู้บริโภคจึงไม่ต้องกังวลว่าจะเกิดภาวะขาดแคลนสุกรภายในประเทศ
ส่วนเกษตรผู้เลี้ยงก็ไม่ต้องกังวลว่าปริมาณภายในจะเหลือจนส่งผลกระทบต่อภาวะราคาเช่นกัน”
ทั้งหมดนี้ เป็นภาพสะท้อนปีทองของหมูไทย
กับความสำเร็จในการสร้างผลผลิตสุกรให้เพียงพอกับคนไทย
และยังเป็นสินค้าปศุสัตว์ที่บุกตลาดต่างประเทศ
นำรายได้มาขับเคลื่อนเศรษฐกิจชาติได้อย่างแท้จริง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น