นายพิศาล พงศาพิชณ์
เลขาธิการสำนักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ (มกอช.) เปิดเผยว่า มกอช.
ได้มอบหมายให้นายปราการ วีรกุล ที่ปรึกษา มกอช.
เป็นประธานการประชุมหารือผลกระทบและข้อคิดเห็นต่อ (ร่าง)
ระเบียบย่อยว่าด้วยการเก็บบันทึกข้อมูลเพิ่มเติมเพื่อการตรวจสอบย้อนกลับสำหรับอาหารบางชนิด
(Requirements for Additional Traceability Records for Certain Foods)
ของสหรัฐอเมริกา ร่วมกับหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชนที่เกี่ยวข้อง
ได้แก่ กรมวิชาการเกษตร กรมปศุสัตว์ กรมประมง สมาคมผู้ผลิตอาหารสำเร็จรูปและสมาคมผู้ส่งออกผักและผลไม้ไทย
เพื่อพิจารณาผลกระทบของ (ร่าง) ระเบียบย่อยฯ
ต่ออุตสาหกรรมเกษตรและอาหารของประเทศไทย
และร่วมจัดทำความเห็นต่อร่างระเบียบย่อยดังกล่าว
ทั้งนี้
การจัดทำความเห็นต่อร่างระเบียบย่อยดังกล่าว เป็นผลมาจากการที่สหรัฐอเมริกา โดยหน่วยงานองค์การอาหารและยาสหรัฐฯ
(U.S.FDA) ได้ประกาศร่างระเบียบย่อยภายใต้ Section
204 (d): Additional Recordkeeping Requirements for High Risk Foods ของกฎหมายว่าด้วยการปรับปรุงความปลอดภัยอาหารให้ทันสมัย (Food
Safety Modernization Act (FSMA) ซึ่งกำหนดให้ผู้ที่เกี่ยวข้องตลอดห่วงโซ่อุปทานของอาหารที่มีความเสี่ยงสูงภายใต้
Food Traceability List (FTL) ได้แก่ ผู้ผลิต (ระดับฟาร์ม)
ผู้แปรรูป ผู้บรรจุหีบห่อ และผู้เก็บรักษา
ต้องบันทึกและจัดเก็บขอมมูลตามสอบกระบวนการผลิตสินค้าเกษตรและอาหารในรายการที่สหรัฐฯ
พิจารณาว่ามีความเสี่ยงต่อการปนเปื้อนเชื้อก่อโรคในอาหาร เช่น ผักผลไม้สด
สินค้าประมงสด เป็นต้น เพื่อให้สามารถตามสอบ
หรือติดตามตรวจสอบย้อนกลับได้ในกรณีที่พบการระบาดของเชื้อก่อโรคในอาหารไปจนถึงระดับผู้ผลิตระดับฟาร์ม
โดยเบื้องต้น มกอช. คาดว่าระเบียบดังกล่าวจะประกาศฉบับสมบูรณ์ (Final regulation)
ภายในปี 2564 - 2565
ซึ่งจะมีการกำหนดระยะเวลาเปลี่ยนผ่านเพื่อการปรับตัวสำหรับผู้ประกอบการขนาดเล็ก (Small
business) และขนาดเล็กมาก (Very-small business) เป็นเวลา 1 และ 2 ปี ตามลำดับ
หลังจากประกาศให้ร่างระเบียบย่อย มีผลบังคับใช้ตามกฎหมาย (Effective date)
ปัจจุบันสหรัฐฯ
นำเข้าอาหารเพื่อการบริโภคเพิ่มสูงขึ้นเป็นสัดส่วนกว่าร้อยละ 20
และประเทศไทยเป็นหนึ่งในผู้ผลิตสินค้าเกษตรและอาหารส่งออกไปยังสหรัฐฯ ที่สำคัญ
โดยมีมูลค่าส่งออกถึงปีละกว่า 1.2 แสนล้านบาท ทำให้อุตสาหกรรมเกษตรและอาหารของไทยมีแนวโน้มจะได้รับผลกระทบอย่างกว้างขวาง
โดยเฉพาะการจัดทำข้อมูลตามสอบที่ต้องอยู่ในรูปแบบดิจิทัล
และการเก็บรักษาข้อมูลจนถึงระดับแหล่งผลิตขั้นปฐมภูมิ
ซึ่งที่ประชุมได้แลกเปลี่ยนข้อมูลและความเห็นที่เป็นประโยชน์ เช่น
ความพร้อมด้านฐานข้อมูลตามสอบและใบอนุญาตของเรือประมงพื้นบ้าน
โดยกรมประมงได้ให้ความสำคัญต่อการยกระดับการควบคุมและป้องกันปัญหาการทำประมงผิดกฎหมาย
ภายใต้พระราชกำหนดการประมงอย่างต่อเนื่อง
ประเด็นการตีความรายสินค้าและสถานประกอบการที่จะได้รับผลกระทบ
หากกฎระเบียบดังกล่าวมีผลบังคับใช้ ตลอดจนถึงแนวทางเตรียมความพร้อมเกษตรกรรายย่อยที่เข้าเกณฑ์ต้องให้ข้อมูลตามสอบ
โดยมีต้นแบบการปฏิบัติจากกลุ่มเกษตรกรผู้ผลิตปาล์มน้ำมันอย่างยั่งยืนในพื้นที่ภาคใต้
เป็นต้น
มกอช.
ในฐานะหน่วยงานผู้ประสานงานหลักด้านสุขอนามัยและสุขอนามัยพืชของไทยจะรวบรวมจัดทำข้อคิดเห็นเพื่อแจ้งต่อ
U.S.FDA พร้อมทั้งติดตามสถานะของการประกาศร่างกฎหมายฉบับสมบูรณ์เพื่อเผยแพร่ข้อมูลต่อผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย
รวมทั้งแลกเปลี่ยนแนวทางเตรียมความพร้อมอย่างมีส่วนร่วมต่อไป
สหรัฐอเมริกา
ถือเป็นตลาดส่งออกสินค้าที่สำคัญของไทย มีมูลค่าเฉพาะ การนำเข้าสินค้าเกษตรและอาหารจากประเทศไทย
การปรับปรุงระเบียบว่าด้วยการจัดทำข้อมูลตามสอบกระบวนการผลิตสินค้าเกษตรและอาหารที่มีความเสี่ยงสูง
ถือเป็นความท้าทายในการยกระดับฐานข้อมูลตามสอบสินค้าเกษตรและอาหารของผู้ประกอบการภายในประเทศ
เข้าสู่การจัดทำข้อมูลตามสอบผ่านระบบดิจิทัล ซึ่งจะทำให้มีความรวดเร็วในการติดตามป้องกันและแก้ไขปัญหาทั้งภายในประเทศและสินค้าส่งออก
และเป็นการการันตีความน่าเชื่อถือในการรับรองมาตรฐานสินค้าเกษตรของประเทศไทยตั้งแต่ระดับฟาร์มจนถึงสินค้าแปรรูปว่า
มีทั้งคุณภาพและความปลอดภัย มีความพร้อมต่อตลาดส่งออกมาตรฐานสูง ซึ่งนอกจากการส่งเสริมการพัฒนาขีดความสามารถของผู้ผลิตแล้ว
"ปัจจุบัน
มกอช.ได้ยกระดับขีดความสามารถของหน่วยรับรองระบบงาน หรือ Accreditation สินค้าเกษตรและอาหารของ มกอช. จนเป็นที่ยอมรับของ U.S.FDA ภายใต้กฎหมายการปรับปรุงความปลอดภัยอาหารให้ทันสมัย (Food Safety
Modernization Act: FSMA) และกำลังขยายขอบข่ายให้ครอบคลุมทั้งอาหารทะเล
อาหารที่มีความเป็นกรดต่ำ และน้ำผลไม้
จากเดิมที่ได้รับการรับรองความเท่าเทียมในขอบข่ายการควบคุมเชิงป้องกันสำหรับอาหารมนุษย์
หรือ Preventive Controls for Human Food จากสหรัฐอเมริกา
เป็นประเทศแรกของโลกตั้งแต่เดือนพฤษภาคม2561" เลขาธิการ
มกอช. กล่าว
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น