นายทรงพล พูลสวัสดิ์ ประธานสภาเกษตรกรจังหวัดอ่างทอง
เปิดเผยว่า ที่ประชุมสภาเกษตรกรแห่งชาติ ครั้งที่ 6/2564 ประจำปีงบประมาณ 2564
ได้พิจารณาหามาตรการช่วยเหลือและแก้ปัญหาความเดือดร้อนให้แก่เกษตรกรปลายน้ำ
เพื่อสร้างความมั่นคงทางด้านอาชีพเกษตรกรรมและความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น
เหตุจากเกษตรกรผู้ปลูกข้าวในพื้นที่จังหวัดอ่างทองรวมถึงหลายพื้นที่จังหวัดภาคกลาง
อาทิ จังหวัดชัยนาท สิงห์บุรี ลพบุรี สระบุรี
สุพรรณบุรี
และมีที่ดินทำการเกษตรอยู่ในพื้นที่ทางน้ำชลประทานบริเวณปลายน้ำได้รับผลกระทบจากสภาวะภัยแล้งเข้าร้องเรียนยังสภาเกษตรกรจังหวัด
กอปรกับน้ำเหนือเขื่อนมีปริมาณลดน้อยลง
กรมชลประทานไม่สามารถบริหารจัดการน้ำให้เกษตรกรทำการเกษตรได้อย่างเหมาะสม
รวมถึงสถานการณ์โรคระบาดโควิด - 19
ทำให้เกษตรกรไม่สามารถปลูกข้าวได้ตั้งแต่เดือนมกราคม 2564
จนถึงปัจจุบัน ส่งผลให้เกษตรกรไม่มีรายได้และไม่ได้รับสิทธิตามโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว
ปี 2564/65 เกษตรกรมีหนี้สินเพิ่มขึ้น
ขาดความมั่นคงทางอาชีพและความเป็นอยู่ที่ดี สภาเกษตรกรจังหวัดกลุ่มภาคกลาง 26 จังหวัด
ได้เล็งเห็นถึงความเดือดร้อนของเกษตรกรผู้ปลูกข้าวได้ประชุมสภาเกษตรกรจังหวัดกลุ่มภาคกลาง
ครั้งที่ 4/2564 เมื่อวันที่ 23 - 24
สิงหาคม 2564 เพื่อพิจารณาปัญหาดังกล่าว
และมีมติเห็นชอบเสนอปัญหาดังกล่าวในการประชุมสภาเกษตรกรแห่งชาติ
“ทุกคนคิดว่าพื้นที่ลุ่มน้ำเจ้าพระยา
น้ำชลประทาน100% มีทั้งปี
แต่ 3-4 ปีมาแล้วฝนไม่ตกต้องตามฤดูกาล น้ำในเขื่อนมีน้อย
คนที่อยู่ต้นทางน้ำจะได้ใช้น้ำทั้งปี
คนที่อยู่ปลายคลองหรือพื้นที่ไกลๆปลายน้ำก็จะไม่ได้ใช้ กลายเป็นว่าชลประทาน100%
แต่น้ำไม่มีไปถึงการเกษตรปลายนา
เกษตรกรได้รับความเดือดร้อนเนื่องจากไม่สามารถทำนาได้
รายได้ไม่มีแถมมีหนี้สินแล้วจะเลี้ยงดูครอบครัวอย่างไร” นายทรงพล
กล่าว
อย่างไรก็ตาม
สภาเกษตรกรจะนำเสนอแนวทางแก้ปัญหาเรื่องดังกล่าวไปยังรัฐบาล 2 ประเด็น คือ การบริหารจัดการน้ำ วิธีการคือ
พื้นที่น้ำไหลผ่าน 1 คลอง ความยาว 20
กว่ากิโลเมตร จะผ่านพื้นที่ 3 อำเภอ
สภาเกษตรกรจะเชิญนายอำเภอพื้นที่น้ำไหลผ่าน รวมทั้งผู้ที่เกี่ยวข้อง อาทิ ตำรวจ
ทหาร กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ชลประทาน มาหารือ ยกตัวอย่าง
พื้นที่จังหวัดอ่างทองที่สภาเกษตรกรจังหวัดอ่างทองได้ทำโครงการบริหารจัดการน้ำมา 2-3 ปี
เมื่อชลประทานปล่อยน้ำมาต้องส่งให้ปลายน้ำใช้ก่อน 2
วัน ตามด้วยกลางน้ำ 2 วัน และต้นน้ำ 2
วัน ผลคือได้ใช้น้ำอย่างทั่วถึงและเท่าเทียม โดยไม่ใช้งบประมาณ
แต่ใช่ว่าจะหมดปัญหาซะทีเดียว
เหตุเพราะน้ำในเขื่อนมีน้อยจึงไม่ทั่วถึงหลายพื้นที่การเกษตร
จึงนำเสนออีกแนวทางแก้ปัญหาคือ โครงการประกันรายได้
อยากให้ดึงกลุ่มเกษตรกรที่ไม่สามารถทำนาได้เลยทั้งปีเข้าร่วมโครงการชดเชยนี้ด้วย
ทำนากี่ไร่ให้ได้รับการชดเชยตามเกณฑ์ที่ทางราชการกำหนด
“ปัญหามันเร่งด่วนระดับชาติอยากให้ทุกภาคส่วนเข้ามาช่วยกันผลักดัน
ความในใจคืออยากให้สภาเกษตรกรแห่งชาติ กรมชลประทาน กระทรวงเกษตรและสหกรณ์
และกระทรวงมหาดไทยทำบันทึกความตกลงเชื่อมโยงร่วมกันให้ได้
รวมทั้งกระทรวงยุติธรรมเพื่อดูแลในเรื่องของกฎหมาย ทั้งหมดมาหารือกัน
งานไม่สำเร็จได้ด้วยใครคนใดคนหนึ่งทั้งหมด ต้องร่วมมือกัน ออกกฎ
ระเบียบมาใช้ร่วมกัน” ประธานสภาเกษตรกรจังหวัดอ่างทอง กล่าวปิดท้าย
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น