วันจันทร์ที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2564

“ต้นหนวดปลาหมึก” ไม้ประดับฟอกอากาศ สินค้าทางเลือกมีอนาคต สร้างรายได้งาม ของเกษตรกรนครนายก


 

            นายชัฐพล สายะพันธ์ ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตรที่ 6 ชลบุรี (สศท.6) สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) เปิดเผยว่า ปัจจุบันไม้ดอกไม้ประดับมีความสำคัญในหลายด้าน ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม ใช้เป็นวัตถุดิบในอุตสาหกรรมอาหาร เครื่องสำอาง ยารักษาโรค รวมถึงธุรกิจด้านการท่องเที่ยว นอกจากนี้ ไม้ดอก ไม้ประดับบางชนิดยังสามารถดูดซับสารพิษในอากาศได้เป็นอย่างดี ซึ่งไม้ดอกไม้ประดับที่มีระดับการดูดสารพิษมากและมีการปลูกมากในประเทศไทย ได้แก่ ต้นหนวดปลาหมึก ยางอินเดีย บอสตันเฟิร์น พลูด่าง หมากเหลือง กล้วยไม้พันธุ์หวาย เป็นต้น นับว่าเป็นสินค้าทางเลือกที่มีอนาคต ตลาดมีความต้องการสูง และเป็นสินค้าทางเลือกหนึ่งที่มีศักยภาพในการเพิ่มรายได้ให้แก่เกษตรกร



            ปัจจุบันมีการปลูกไม้ดอกไม้ประดับอย่างแพร่หลายทั่วทุกภาคของประเทศ ซึ่งจังหวัดนครนายกเป็นแหล่งผลิตไม้ดอกไม้ประดับที่สำคัญอันดับ 9 ของประเทศประกอบกับจังหวัดนครนายกมีศักยภาพในด้านการท่องเที่ยวรวมถึงอยู่ติดกับกรุงเทพมหานครซึ่งเป็นศูนย์กลางธุรกิจการค้าและประชาชนมีกำลังซื้อสูง โดยมีพื้นที่ปลูกไม้ดอกไม้ประดับที่ขึ้นทะเบียนกับกรมส่งเสริมการเกษตร (ข้อมูล ณ วันที่ 1 กันยายน 2564) จำนวน 766 ไร่ เกษตรกรผู้ปลูก 377 ราย เกษตรกรมีการปลูกทั้งแบบรายเดี่ยวและ การรวมกลุ่มผลิตในรูปของกลุ่มเกษตรกร



            สศท.6 ได้ดำเนินการศึกษาต้นทุนและผลตอบแทนไม้ประดับดูดสารพิษ จังหวัดนครนายก กรณีศึกษาต้นหนวดปลาหมึก ซึ่งเป็นไม้ดอกไม้ประดับที่มีคุณสมบัติในการดูดสารพิษในระดับมากและเกษตรกรในจังหวัดนครนายกมีการผลิตมาก โดยจากการสำรวจกลุ่มตัวอย่าง จำนวน 30 ราย ผลการศึกษาเบื้องต้น พบว่า มีต้นทุนการผลิตเฉลี่ย 124,450 บาท/ไร่/รอบการผลิต (แบ่งเป็นต้นทุนการเพาะปลูก 73,990 บาท และต้นทุนการจำหน่าย 50,460 บาท) ในระยะเวลา 1 ปี สามารถปลูกได้ 2 รอบการผลิต เกษตรกรนิยมปลูกในถุงดำขนาด 5 นิ้ว ในพื้นที่ 1 ไร่ ปลูกได้ประมาณ 10,000 ต้น โดยเกษตรกรใช้กิ่งพันธุ์จากต้นแม่พันธุ์ของตนเองนำมาปักชำ ใช้ระยะเวลาการปลูก 2 – 6 เดือน เกษตรกร จะเริ่มจำหน่ายเมื่อมีอายุต้น 2 เดือน และบางส่วนจะนำมาเปลี่ยนขนาดถุงเป็น 8 นิ้ว และดูแลต่อเนื่องจนมีอายุ 6 เดือน จึงจะจำหน่าย ราคาที่เกษตรกรขายได้ ณ เดือนสิงหาคม 2564 ขนาดถุงดำ 5 นิ้ว อยู่ที่ 9 บาท/ต้น และขนาดถุงดำ 8 นิ้ว อยู่ที่ 32 บาท/ต้น เกษตรกรได้รับผลตอบแทนเฉลี่ย 196,122 บาท/ไร่/รอบการผลิต ผลตอบแทนสุทธิเฉลี่ย (กำไร) 71,672 บาท/ไร่/รอบการผลิต ทั้งนี้ การจำหน่ายไม้ดอก ไม้ประดับขึ้นอยู่กับความต้องการของตลาด เกษตรกรจึงมีการผลิตไม้ดอกไม้ประดับหลายชนิดและปริมาณการผลิตไม้ดอก ไม้ประดับแต่ละชนิดในจำนวนไม่มาก



 ด้านสถานการณ์ตลาด พบว่า ผลผลิตส่วนใหญ่ ร้อยละ 50 จำหน่ายให้กับผู้ซื้อรายย่อยที่นำไปจัดสวนของตนเอง รองลงมา ร้อยละ 30 จำหน่ายให้กับนักจัดสวนและบริษัทรับจัดสวน และร้อยละ 20 จำหน่ายให้พ่อค้าจังหวัดใกล้เคียงและต่างจังหวัด ซึ่งมารับซื้อเพื่อส่งออกไปยังตลาดต่างประเทศ เช่น สิงคโปร์ มาเลเซีย นอกจากนี้เกษตรกรบางรายมีการจำหน่ายทางออนไลน์ผ่าน Facebook ของของตนเอง และจัดส่งผ่านบริษัทขนส่งเอกชนในพื้นที่  



            ผู้อำนวยการ สศท.6 กล่าวเพิ่มเติมว่า จังหวัดนครนายกได้มีการกำหนดแนวทางการพัฒนาไม้ดอกไม้ประดับ โดยมุ่งเน้นพัฒนาเทคโนโลยีการผลิต (พันธุ์พืช การผลิต การดูแลรักษา) ลดต้นทุนการผลิต สนับสนุนการรวมกลุ่มเกษตรกร การบริหารจัดการผลผลิต รวมถึงพัฒนาเทคโนโลยีการตลาดและระบบขนส่ง เพื่อเพิ่มช่องทางการตลาด และการเชื่อมโยงเครือข่ายระหว่างผู้ค้าและผู้ผลิต ทั้งนี้ เกษตรกรควรระมัดระวังในเรื่องวัสดุปลูก คือ ขี้เถ้าแกลบ ซึ่งเป็นปัญหาสำคัญในการผลิต โดยขี้เถ้าแกลบที่ไม่ได้คุณภาพหรือมีการปนเปื้อนทำให้ต้นกล้าไม้ตายหรือเจริญเติบโตไม่ดี อย่างไรก็ตาม ผลการศึกษาดังกล่าว สามารถใช้เป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจในการปรับเปลี่ยนการผลิต หรือเพิ่มชนิดสินค้าในการผลิตสำหรับเป็นรายได้เสริมให้กับเกษตรกร หากท่านใดสนใจผลการศึกษาเพิ่มเติม สามารถสอบถามได้ที่ สศท.6 โทร 0 3835 1261 หรืออีเมล zone6@oae.go.th

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

สวก.หนุนงานวิจัย “ไข่ผำ”...ขับเคลื่อนนวัตกรรมอาหารแห่งอนาคต

  สำนักงานพัฒนาการวิจัยการเกษตร (องค์การมหาชน) หรือ สวก. เดินหน้าพัฒนางานวิจัย      ขานรับนโยบาย รัฐบาล สร้างนวัตกรรมอาหารอนาคต ปฏิรูปภาค...