สทนช.” เร่งเดินน้าสรุปผลศึกษาด้านสิ่งแวดล้อมระดับยุทธศาสตร์ (SEA) ขีดเส้นแล้วเสร็จภายใน ก.พ.นี้ พร้อมดันเป็นทางเลือกบริหารจัดการปัญหาวิกฤติลุ่มน้ำมูลทั้งระบบ หวังช่วยคนอีสาน 10 จว.พ้นวิกฤติแล้ว-ท่วมซ้ำซากในอดีต
ดร.สมเกียรติ ประจำวงษ์ เลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ
(สทนช.) กล่าวภายหลังเป็นประธานการแถลงข่าว “SEA ตอบโจทย์การแก้ไขปัญหาลุ่มน้ำมูลอย่างยั่งยืน” ว่า ปัจจุบันลุ่มน้ำมูลครอบคลุมพื้นที่ประมาณ
44 ล้านไร่ ปัจจุบันมีพื้นที่ป่าไม้เหลือเพียง 5.5 ล้านไร่ หรือร้อยละ 12 ของพื้นที่ทั้งลุ่มน้ำ
พื้นที่การเกษตรประมาณ 33 ล้านไร่ คิดเป็นร้อยละ 74 ปัจจุบันพื้นที่เกษตรได้รับการพัฒนาเป็นพื้นที่ชลประทานแล้วเพียง 2 ล้านไร่หรือคิดเป็นร้อยละ 6 ที่เหลืออีกกว่า 31 ล้านไร่หรือร้อยละ 94
เป็นพื้นที่ที่ต้องพึ่งพาน้ำฝน ขณะที่มีปริมาณฝนรายปี เฉลี่ย 85,089 ล้านลูกบาศก์เมตร มีปริมาณน้ำท่าในลำน้ำเฉลี่ยปีละ 13,410 ล้านลูกบาศก์เมตร ส่วนความต้องการน้ำทุกภาคส่วนมีถึง 10,155 ล้านลูกบาศก์เมตร แต่ความสามารถในการเก็บกักน้ำมีเพียง 5,350 ล้านลูกบาศก์เมตร ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนเพียงร้อยละ 40 % ของความต้องการใช้น้ำทั้งหมด
จึงส่งผลให้ลุ่มน้ำมูลประสบปัญหาเรื่องน้ำมาโดยตลอด
ทั้งปัญหาการขาดแคลนน้ำอุปโภคบริโภคและน้ำเพื่อการเกษตร
ซึ่งพบว่าแต่ละปีมีพื้นที่เสี่ยงขาดแคลนน้ำกว่า 12.4 ล้านไร่
ปัญหาน้ำท่วมที่เคยท่วมสูงสุด 3.7 ล้านไร่ (ปี 2553)
รวมถึงปัญหาคุณภาพน้ำที่เกิดจากการปล่อยน้ำทิ้งของชุมชน
การเลี้ยงปลาในกระชัง
นอกจากนี้ยังมีสภาพดินตื้น ดินเค็ม น้ำเค็ม-น้ำกร่อย ป่าไม้เสื่อมโทรม
พื้นที่ป่าต้นน้ำลดลง เป็นต้น ดังนั้น เพื่อเป็นกรอบแนวทางการพัฒนาและแก้ไขปัญหาข้างต้น
จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องประเมินศักยภาพและข้อจำกัดของพื้นที่ลุ่มน้ำมูล
โดยใช้กลไกแนวใหม่ที่เรียกว่า การประเมินสิ่งแวดล้อมระดับยุทธศาสตร์ หรือ SEA
(Strategic Environmental Assessment) ซึ่ง สทนช. นำมาใช้ในการศึกษาเพื่อประเมินศักยภาพและข้อจำกัดของสิ่งแวดล้อม
ทิศทางในการพัฒนาลุ่มน้ำ รวมถึงเปรียบเทียบทางเลือกในการพัฒนาพื้นที่ลุ่มน้ำ
เพื่อให้การตัดสินใจเป็นไปอย่างรอบคอบ
และเกิดประโยชน์สูงสุดซึ่งสอดคล้องกับประเด็นยุทธศาสตร์ในการพัฒนาการจัดการน้ำเชิงลุ่มน้ำทั้งระบบในการเพิ่มความมั่นคงด้านน้ำของประเทศ
สำหรับขอบเขตพื้นที่ศึกษาครั้งนี้รวมทั้งสิ้น
1,282 ตำบล 151 อำเภอ ใน 10 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดนครราชสีมา บุรีรัมย์ สุรินทร์ ศรีสะเกษ
อุบลราชธานี ยโสธร อำนาจเจริญ ขอนแก่น มหาสารคาม และร้อยเอ็ด ระยะเวลาดำเนินการ 1 ปี จากผลการศึกษาเบื้องต้นได้นำเสนอทางเลือก อาทิ
การพัฒนาพื้นที่เกษตรเป็นแหล่งเก็บกักน้ำชั่วคราว
การพัฒนาแหล่งน้ำเพื่อการอนุรักษ์ดินและน้ำ
การเชื่อมโยงแหล่งน้ำขนาดเล็กเข้าด้วยกัน
การเก็บกักน้ำส่วนเกินในฤดูฝนเพื่อใช้ในฤดูแล้ง
แนวทางพัฒนาหาน้ำต้นทุนจากแหล่งที่มีน้ำต้นทุนขนาดใหญ่ การผันน้ำจากพื้นที่ข้างเคียง
การสนับสนุนการวิจัยการลดการใช้น้ำอย่างมีประสิทธิภาพด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่
ๆ
การจัดทำโครงสร้างใต้ดินเพื่อจัดเก็บน้ำส่วนเกิน (บ่อกักเก็บน้ำฝนใต้ดิน)
และระบบเครือข่ายเชื่อมโยงสถานีตรวจสอบคุณภาพน้ำอัตโนมัติเพื่อติดตามและตรวจสอบคุณภาพน้ำ
(Real time) เป็นต้น
โดยผลการศึกษาใกล้จะแล้วเสร็จตามแผนภายในเดือนกุมภาพันธ์
2564 นี้
เพื่อนำไปสู่การประเมินทางเลือกที่เหมาะสมกับบริบทของพื้นที่ และสรุปผลการศึกษา SEA
ให้กับหน่วยงานและประชาชนในพื้นที่นำไปสู่การบริหารจัดการน้ำในพื้นที่ลุ่มน้ำมูลอย่างสมดุลและยั่งยืน
ทั้งในมิติของเศรษฐกิจ สังคมและสิ่งแวดล้อม ซึ่งสอดคล้องกับประเด็นยุทธศาสตร์
ในการพัฒนาการจัดการน้ำเชิงลุ่มน้ำทั้งระบบเพื่อเพิ่มความมั่นคงด้านน้ำของประเทศภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ
20 ปี (พ.ศ. 2561 – 2580 ) และแผนแม่บทการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ
20 ปี (พ.ศ.2561-2580)
“ในกระบวนการ SEA สทนช.เน้นย้ำให้เกิดกระบวนการมีส่วนร่วม ตั้งแต่การวิเคราะห์ปัญหา สาเหตุ
แนวทางการแก้ไข และทางเลือกของแผนงาน โดยมีการประชุมแบบเวทีย่อย ประชุมกลุ่มย่อย
การสำรวจเศรษฐกิจสังคมในเชิงพื้นที่ รวมทั้งการจัดเวทีรับฟังข้อคิดเห็นจากคณะกรรมการลุ่มน้ำประกอบด้วย
เพื่อให้สาธารณชนมีส่วนร่วมในการพิจารณาแผนงานให้เหมาะสมกับการพัฒนาในพื้นที่ของตนเอง
ลดความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงทรัพยากรน้ำ
เสริมสร้างคุณภาพชีวิตและความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นให้กับประชาชนได้อย่างยั่งยืน”ดร.สมเกียรติ กล่าว
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น