คุณปัญจเดช
สิงห์โท ที่ปรึกษาด้านนโยบาย องค์กรพิทักษ์สัตว์แห่งโลก เปิดเผยว่า จากข้อมูลจำนวนเสือในประเทศไทย ที่อยู่ในกรงเลี้ยงพบว่ามีอยู่ประมาน
1,500 ตัว ส่วนใหญ่เป็นเสือโคร่งเบงกอล
หรือเสือโคร่งไซบีเรีย ซึ่งไม่ใช่สายพันธุ์ท้องถิ่น โดยพบว่ามีการผสมพันธุ์เสือในกรง
และทำให้จำนวนเสือเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วถึงกว่า 200
ตัวในรอบสิบปีที่ผ่านมา บ่งชี้ให้เห็นว่าไม่ใช่เพื่อการอนุรักษ์
แต่เป็นการเร่งเพิ่มจำนวนเสือ
เพื่อนำเข้าสู่อุตสาหกรรมที่ใช้สัตว์ป่าเพื่อความบันเทิง นอกจากนี้
ข้อมูลจากการศึกษาด้านต่างๆ ยังทำให้พบว่า
การผสมพันธุ์เสือที่เกิดขึ้นอย่างไม่ถูกต้องนี้
เป็นไปเพื่อตอบสนองวัตถุประสงค์ทางการค้า ทั้งเสือที่มีชีวิตและชิ้นส่วนของเสือ
เพื่อใช้ทำยาแผนโบราณ และผลิตภัณฑ์ต่างๆ ซึ่งจะทำให้ประเทศไทยตกอยู่ในสถานะละเมิดอนุสัญญาไซเตส
(CITES) ซึ่งเป็นอนุสัญญาที่ว่าด้วยการค้าระหว่างประเทศ
ซึ่งชนิดของสัตว์ป่าและพืชป่าที่ใกล้สูญพันธุ์ ห้ามมิให้มีการค้าทั้งเสือที่มีชีวิต
ชิ้นส่วน หรือผลิตภัณฑ์ และเมื่อเดือนมกราคม พ.ศ. 2561
คณะกรรมการอนุสัญญา CITES ได้มีหนังสือแจ้งเตือนมายังรัฐบาลไทย
เพื่อให้ออกมาตรการในการควบคุมปริมาณเสือที่อยู่ในกรงเลี้ยง
เนื่องจากมีมากเกินความจำเป็น และอาจมีการลักลอบค้าอย่างผิดกฎหมายได้
องค์กรพิทักษ์สัตว์แห่งโลก
จึงได้ดำเนินโครงการการยุติการผสมพันธุ์เสือในกรง เพื่อเป็นการยุติการทารุณกรรมสัตว์จากกระบวนการเลี้ยงที่ไม่เหมาะสม
ทั้งขนาดของกรง สถานที่เลี้ยง อาหาร รวมทั้งการฝึกเสือเพื่อนำมาแสดง
เป็นภาพรวมที่ทำให้เสือแต่ละตัวต้องพบกับความทุกข์ทรมานแสนสาหัส
นับตั้งแต่ลูกเสือที่ถูกพรากจากแม่ตั้งแต่ยังเล็ก
เพื่อให้แม่เสือมีโอกาสผสมพันธุ์อีกครั้งได้เร็วขึ้น ซึ่งตามปกติ
ลูกเสือจะหย่านมเมื่ออายุ 4-6 สัปดาห์
และแยกจากแม่เมื่ออายุ 1-2 ปี
กลับถูกนำมาเลี้ยงโดยคนเมื่ออายุเพียงแค่ 2 เดือน
และให้อาหารที่ไม่เป็นไปตามธรรมชาติของลูกเสือ
ทั้งยังต้องทำกิจกรรมเพื่อให้ความบันเทิงกับคน เช่น ถูกอุ้มถ่ายรูป
และป้อนนมซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทำให้ลูกเสืออ่อนแอและมีสุขภาพไม่สมบูรณ์
ทั้งนี้ยังรวมไปถึงการแยกลูกเสือออกมาฝึกเพื่อการแสดง เช่น การลอดห่วงไฟ หรือการจัดแสดงที่ขัดกับหลักพฤติกรรม
เช่น การขังรวมเพื่อให้ลูกเสือใช้ชีวิตร่วมกับสัตว์ชนิดอื่น เช่น
การให้กินนมจากแม่หมู เสือที่โต
จะถูกเลี้ยงด้วยโครงไก่และเนื้อหมูเนื้อวัวแล่ปรุงสุก
ซึ่งทำให้สูญเสียวิตามินตามธรรมชาติไป บางครั้ง อาหารของมัน จะเป็นอาหารสำเร็จรูปของแมวและหมา
ทำให้เสือส่วนใหญ่เกิดภาวะขาดสารอาหาร เพราะตามธรรมชาติ เสือจะกินซากสัตว์ทั้งตัว
ที่รวมเนื้อ กระดูก และหนัง เพื่อให้ได้โปรตีน ไขมันและสารอาหารที่จำเป็น
ในปริมาณสูงเท่าที่ร่างกายต้องการ
ทั้งนี้ ในปัจจุบันกฎหมายภายใต้ พรบ.สงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ.2560 ยังมีช่องว่างและยังเปิดโอกาส
ในการอนุญาตให้ผสมพันธุ์เสือในกรงเลี้ยงได้ ถึงแม้กรมอุทยานสัตว์ป่าและพันธุ์พืช
กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
จะมีมาตรการในการติดตามควบคุมและบังคับใช้กฎหมายในการผสมพันธุ์เสือดังกล่าว เช่น
การแยกพ่อพันธุ์กับแม่พันธุ์ การตรวจดีเอ็นเอเสือ
แต่จากข้อมูลก็ยังพบการลักลอบผสมพันธุ์เสืออย่างต่อเนื่อง
การผสมพันธุ์ด้วยวิธีที่ไม่ถูกต้อง จะมีผลเสียทางด้านพันธุกรรมที่เกิดจากการผสมเลือดชิด
ทำให้ร่างกาย ไม่สมบูรณ์ และมักจะมีชีวิตอยู่ไม่นาน ด้วยเหตุนี้
องค์กรพิทักษ์สัตว์แห่งโลก จึงทำการรณรงค์เรียกร้องให้ภาครัฐปรับเปลี่ยนนโยบาย
ให้เกิดการยุติการผสมพันธุ์เสือในกรงเลี้ยง
เพื่อป้องกันการเพิ่มจานวนเสือซึ่งเป็นสัตว์ป่า ที่จะถูกนำมาใช้ เพื่อความบันเทิงและทำการค้าในรูปแบบต่างๆ
ในการรณรงค์นี้ เราต้องการผู้ร่วมลงชื่อสนับสนุนอย่างน้อย 10,000 ชื่อ พร้อมสำเนาบัตรประชาชน
เพื่อให้เป็นการเรียกร้องที่สมบูรณ์ตามกฎเกณฑ์ที่รัฐกำหนด
“การผสมพันธุ์เสือในกรงเลี้ยงส่วนใหญ่ เป็นไปเพื่อผลประโยชน์ทางธุรกิจ
การผสมพันธุ์เสือในกรงไม่ช่วยในการอนุรักษ์
เสือเหล่านี้ไม่สามารถที่จะอยู่ในป่าตามธรรมชาติได้
และไม่สามารถปล่อยกับคืนสู่ป่าได้ เนื่องจาก การเลี้ยงดูที่ถูกฝึกให้ใกล้ชิดกับคน
หากปล่อยกับคืนสู่ป่ามีโอกาสถูกล่าได้ง่ายมาก และในการประชุม ไซเตส เมื่อ ปี 2007
ได้ระบุว่าการผสมพันธุ์เสือในกรงเลี้ยงของสถานที่โชว์การแสดงสัตว์ไม่ใช่วัตถุประสงค์ของการอนุรักษ์
(Cites international regulation:2007)
ทั้งนี้ไซเตสได้สนับสนุนให้มีการยุติการผสมพันธุ์เสือในกรงและการผสมพันธุ์เสือเพื่อใช้ในการแสดง
ในการประชุมเมื่อปี 2552 ที่ผ่านมา อย่างไรก็ดี ภายใต้โครงการรณรงค์ดังกล่าว
มุ่งเน้นการห้ามผสมพันธุ์เพื่อนำเสือมาใช้ในความบันเทิงเท่านั้น แต่ไม่ได้ห้ามผสมพันธุ์เพื่อการอนุรักษ์
เช่น เสือสายพันธุ์ท้องถิ่น ที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กรมอุทยานฯ
หรือสวนสัตว์ของรัฐ ที่ทำการเพาะพันธุ์เพื่อวัตถุประสงค์ของการอนุรักษ์ เช่น
ศูนย์เพาะพันธุ์เสือของกรมอุทยานแห่งชาติฯ หรือหน่วยงานวิจัยอื่นๆ”คุณปัญจเดช กล่าว
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น