นางสาวจูอะดี พงศ์มณีรัตน์ เลขาธิการสำนักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ (มกอช.)
เปิดเผยว่า การประชุม Codex Alimentarius Commission (CAC) ครั้งที่ 43
เดิมมีการกำหนดจัดการประชุมระหว่างวันที่ 6-11 กรกฎาคม 2563 ณ กรุงโรม สาธารณรัฐอิตาลี แต่เนื่องด้วยสถานการณ์ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
2019 (COVID-19) ทาง Mr. Guilherme da Costa ประธานคณะกรรมการธิการโคเด็กซ์ จึงได้พิจารณาประชุมคณะกรรมการบริหารโคเด็กซ์
(Executive Committee) ทางออนไลน์แทน ระหว่างวันที่ 13
– 20 กรกฎาคม 2563
เพื่อทบทวนการดำเนินงานของโคเด็กซ์และร่างมาตรฐานต่างๆ ที่อยู่ระหว่างรอเสนอ CAC
ครั้งที่ 43
และจากการประชุมคณะกรรมการบริหารดังกล่าว
โคเด็กซ์เล็งเห็นความเป็นไปได้ในการจัดประชุม CAC ครั้งที่ 43 ทางออนไลน์ เพื่อรับรองร่างมาตรฐานต่างๆ
ที่คณะกรรมการโคเด็กซ์ทุกสาขาจัดทำ โดยเฉพาะอย่างร่างมาตรฐานที่อยู่ในขั้นตอนเสนอรับรองเพื่อประกาศใช้
โดยมีร่างมาตรฐานสำคัญและมีผลต่อประเทศไทย จำนวน 2 เรื่อง
เรื่องแรก Codex ได้ทบทวนมาตรฐานหลักการทั่วไปสำหรับสุขลักษณะอาหาร
(General Principles of Food Hygiene (CXC1-1969) and its HACCP Annex) เพื่อสร้างความเชื่อมโยงระหว่างหลักการทั่วไปด้านสุขลักษณะอาหารและการวิเคราะห์อันตรายและจุดวิกฤตในธุรกิจอาหาร
กำหนดให้ผู้ประกอบการธุรกิจอาหาร (Food Business Operators) ซึ่งครอบคลุมเกษตรกร
ผู้ประกอบการผลิตอาหารตลอดห่วงโซ่ต้องเข้าใจและทราบถึงอันตรายที่เกี่ยวข้อง
รวมทั้งมาตรการที่ใช้เพื่อป้องกันและกำจัดอันตรายเหล่านั้น โดยแบ่งมาตรการเป็น 3 ประเภท ได้แก่ 1.การควบคุมทั่วไปด้วยการปฏิบัติที่ดีทางสุขลักษณะ
(Good Hygienic Practices GHP) 2.การควบคุมที่เฉพาะเจาะจงกับอันตราย
ณ จุดวิกฤตที่ต้องควบคุม และ3.การควบคุมทั่วไปด้วย GHP
แต่ขั้นตอนนี้มีความเสี่ยงมากกว่าจุดอื่น
จึงอาจเพิ่มความถี่ในการทำความสะอาดหรือการทวนสอบ
รวมทั้งได้ปรับประเด็นการใช้น้ำโดยให้ใช้น้ำที่เหมาะสม
ตามวัตถุประสงค์การใช้ของแต่ละขั้นตอนการผลิตรวมถึงปรับแก้หลักการ HACCP เพื่อให้เกิดความชัดเจนระหว่างการทดสอบความใช้ได้ (Validation) และการทวนสอบ (Verification)
มาตรฐานนี้หน่วยรับรองในประเทศได้มีการนำไปใช้ตรวจรับรอง
และประเทศต่างๆ ได้นำไปใช้อ้างอิงเพื่อออกเป็นกฎหมายของประเทศตนเอง
จึงมีผลกระทบต่อเกษตรกรและผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมผลิตอาหาร ขณะเดียวกัน มกอช.
ได้ทบทวนมาตรฐานสินค้าเกษตรเรื่อง หลักเกณฑ์การปฏิบัติ:
หลักการทั่วไปเกี่ยวกับสุขลักษณะอาหาร (มกษ. 9023-2550) และเรื่อง
ระบบการวิเคราะห์อันตรายและจุดวิกฤตที่ต้องควบคุมและแนวทางในการนำไปใช้ (มกษ. 9024-2550)
รวมถึงเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติที่ดีทางการผลิต
เพื่อให้สอดคล้องกับสากล
เรื่องที่สอง Codex เตรียมประกาศมาตรฐานใหม่ เรื่อง “หลักปฏิบัติสำหรับการจัดการสารก่อภูมิแพ้สำหรับผู้ประกอบการธุรกิจอาหาร”
(Code of Practice on Food Allergen Management for Food Business Operator) ซึ่งครอบคลุมการจัดการสารก่อภูมิแพ้ตลอดห่วงโซ่การผลิตอาหาร ได้แก่
ผู้ผลิตขั้นต้น โรงงานแปรรูป ร้านค้าปลีก และร้านอาหาร
เพื่อให้มีการป้องกันการปนเปื้อนของสารก่อภูมิแพ้จากเครื่องมือเครื่องจักรที่ใช้การทำความสะอาด
โดยยังเน้นให้มีโปรแกรมการฝึกอบรมพนักงานให้เหมาะสมกับหน้าที่ที่รับผิดชอบ
ซึ่งมาตรฐานนี้จะมีความสำคัญมากในอนาคต และต่อการค้าระหว่างประเทศ ผู้ประกอบการจึงควรเตรียมความพร้อมในเรื่องนี้
และเรื่องที่สาม Codex เตรียมรับรองให้ใช้วัตถุเจือปนอาหาร Xanthan
Gum (INS415) และ Pectins (INS440) เป็นสารให้ความข้นเหนียว
(Thickener) ในอาหารสำหรับทารกและอาหารทางการแพทย์สำหรับทารกที่ระดับ
0.19 และ 0.2 g ในผลิตภัณฑ์ 100
ml ตามลำดับ
ซึ่งจะมีผลต่อผู้ประกอบการที่ต้องควบคุมปริมาณการใช้สารดังกล่าว อย่างไรก็ตาม Codex
อยู่ระหว่างรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับวัตถุเจือปนอาหาร
ในกรอบการพิจารณาเหตุผลทางเทคโนโลยีการผลิต เพื่อทบทวนการใช้วัตถุเจือปนอาหารเพิ่มเติมอีก
ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการผลิตอาหารดังกล่าวในอนาคต
“ฉะนั้น มกอช.
ในฐานะหน่วยงานกลางด้านมาตรฐาน ซึ่งเป็นผู้แทนประเทศไทยในการเข้าร่วมการประชุม Codex
จะประสานผู้ประกอบการเตรียมข้อมูล
เหตุผลความจำเป็นทางด้านเทคโนโลยีการผลิต เพื่อเสนอต่อ Codex รวมทั้งมีการแจ้งเตือนหาก Codex พิจารณายกเลิกรายการวัตถุเจือปนอาหารที่เคยอนุญาตให้ใช้
รวมถึงประชาสัมพันธ์ให้ผู้ประกอบการได้ตระหนัก
พร้อมศึกษาและปรับตัวตามมาตรฐานหลักการทั่วไปสำหรับสุขลักษณะอาหาร
ที่เกี่ยวข้องกับ GMP และ HACCP และมาตรฐานหลักปฏิบัติสำหรับการจัดการสารก่อภูมิแพ้สำหรับผู้ประกอบการธุรกิจอาหาร
เพื่อไม่ให้กระทบการส่งออกสินค้าเกษตรไทยในอนาคต”เลขาธิการ
มกอช. กล่าว
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น