ในปี 2562 – 2563 ที่ผ่านมาสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
หรือ สศช. ได้เลือกประเด็น“การพัฒนาเกษตรอัจฉริยะ (Smart Farming)”มาทำการศึกษาวิเคราะห์เพื่อให้เกิดการขับเคลื่อนและผลักดันกลไกให้ดำเนินการไปอย่างมีประสิทธิภาพ
นำไปสู่การบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่กำหนดไว้ในแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 12 ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ศาสตราจารย์พิเศษ
ดร.ทศพร ศิริสัมพันธ์ เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติได้กล่าวถึงการพัฒนาเกษตรอัจฉริยะ (Smart Farming) ว่าเป็นประเด็นการพัฒนาที่มีลำดับความสำคัญสูงในแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ฉบับที่ 12 (พ.ศ.2560-2565) โดย สศช. ได้ศึกษาและวิเคราะห์ข้อมูลภาพรวมการขับเคลื่อนเกษตรอัจฉริยะรวมถึงผลการดำเนินงานที่ผ่านมาเบื้องต้น
เพื่อจัดทำข้อเสนอการขับเคลื่อนในระยะต่อไป และพบว่า การขับเคลื่อนเกษตรอัจฉริยะในปัจจุบันมีประเด็นท้าทายที่ต้องให้ความสำคัญดังนี้
1)
การกำหนดคำนิยามของคำว่า “เกษตรอัจฉริยะ (Smart Farming)”
ยังไม่ชัดเจน โดยแต่ละหน่วยงานได้ให้คำจำกัดความหรือนิยามที่แตกต่างกันไป
เช่น บางหน่วยงานนิยามว่าเกษตรอัจฉริยะหมายถึงเฉพาะการใช้เทคโนโลยีในการเพาะปลูก
หรือนิยามไปที่ตัวเกษตรกรที่มีความรู้ความสามารถในการสร้างนวัตกรรมทางการเกษตรเท่านั้น
ดังนั้น สศช. จึงได้ศึกษาวิเคราะห์และประมวลได้ว่า “เกษตรอัจฉริยะ (Smart
Farming)” จะหมายถึงวิธีทางการเกษตรที่มีการวิเคราะห์พื้นที่ มุ่งเน้นการเพิ่มประสิทธิภาพ
โดยการเพิ่มผลผลิตต่อพื้นที่ และสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับผลผลิต
ใช้หลักการทำน้อยได้มาก ใช้เทคโนโลยีและเครื่องจักรกลเกษตรอัจฉริยะ
ควบคุมกระบวนการผลิต ตั้งแต่การปลูก ดูแลรักษา เก็บเกี่ยว ขนส่ง ตลอดจนการแปรรูป
รวมถึงการเก็บข้อมูลเพื่อใช้ประโยชน์ในอนาคต ตัวอย่างเช่น การใช้ Agri-Map เพื่อตรวจสอบสภาพดินและการเลือกเมล็ดพันธุ์ การควบคุมปริมาณแสง ความชื้น
และอุณหภูมิ การกำหนดปริมาณสารอาหารและน้ำที่เหมาะสม
การใช้ระบบเซนเซอร์เพื่อการบริหารจัดการแปลงและโรงเรือน การกำจัดศัตรูพืช
รวมถึงการสั่งการระยะไกล โดยนำระบบปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI มาช่วยสนับสนุน
รวมทั้งการวางแผนและตัดสินใจทำการเกษตรบนฐานข้อมูลสารสนเทศที่ถูกต้อง โดยการพัฒนา Big
Data Platform ด้านเกษตรอัจฉริยะเพื่อให้เกิดความแม่นยำในการผลิต ทั้งนี้
การพัฒนาเกษตรอัจฉริยะให้บรรลุเป้าหมาย จะต้องขับเคลื่อนองค์ประกอบสำคัญใน 5 ด้านไปพร้อมกัน
ได้แก่ ตัวเกษตรกร เทคโนโลยี กระบวนการผลิตและเก็บเกี่ยว ตลาด และเงินทุน
2) การขับเคลื่อนเกษตรอัจฉริยะยังขาดการทำงานร่วมกันในเชิงบูรณาการของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเกษตรอัจฉริยะมีการขับเคลื่อนโดยหลายหน่วยงานแต่การทำงานร่วมกันระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
ยังมีลักษณะต่างคนต่างทำ ขาดการบูรณาการ โดยกระทรวงเกษตรและสหกรณ์มุ่งเน้นการพัฒนาความรู้ของเกษตรกรให้รู้แนวคิดการเป็น
Smart
Farmer เท่านั้น ไม่ได้มุ่งเน้นการพัฒนาในด้านอื่นๆ ด้วย
และหลายโครงการของกระทรวงเกษตรฯ มีความซ้ำซ้อนและคล้ายคลึงกัน ในขณะที่กระทรวงการอุดมศึกษา
วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมและสถาบันการศึกษาในพื้นที่มุ่งเน้นการพัฒนาเทคโนโลยีและการวิจัย
แต่ไม่มีเงินทุนให้เกษตรกรซื้อเทคโนโลยีมาใช้งาน
กระทรวงพาณิชย์ไม่มีการสนับสนุนด้านการตลาดสำหรับสินค้าที่เกษตรกรได้ผลผลิตเพิ่มขึ้นจาก
Smart
Farming อย่างชัดเจน ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.)
มีโครงการสินเชื่อเพื่อการเกษตรแต่ไม่ได้สนับสนุนเป็นการเฉพาะสำหรับการทำเกษตรอัจฉริยะ
หรือบางหน่วยงานแยกส่งเสริมเป็นรายผลผลิต
เช่น สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ
(สวทช.) ดำเนินโครงการสนับสนุนการพัฒนาเทคโนโลยีการเกษตรในภาคตะวันออก
เน้นผลักดันให้นำเกษตรอัจฉริยะมาใช้เพิ่มประสิทธิภาพในการเพาะปลูกผลไม้และการทำผลไม้แปรรูป
ขณะที่สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติให้เงินทุนสนับสนุนภาคเอกชนในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
นำเทคโนโลยีมาใช้ในการเพาะปลูกมันสำปะหลัง เป็นต้น
3) ไม่มีหน่วยงานเจ้าภาพในการดูแลนโยบายเกษตรอัจฉริยะอย่างเป็นองค์รวมและครบวงจร ยกตัวอย่าง เช่น
ถ้าเกษตรกรหนึ่งคนต้องการเข้าร่วมการทำเกษตรอัจฉริยะโดยการพัฒนาองค์ความรู้ของตน
ต้องการใช้เทคโนโลยี แต่ขาดเงินทุน เกษตรกรคนดังกล่าวต้องติดต่อกระทรวงเกษตรฯ
กระทรวงการอุดมศึกษาฯ และ ธ.ก.ส. ด้วยตนเอง ดังนั้น
จึงควรกำหนดหน่วยงานเจ้าภาพที่ชัดเจน โดยอาจเป็นกระทรวงเกษตรฯ
ทำหน้าที่เป็นแกนหลักในการบูรณาการการทำงานระหว่างหน่วยงาน รวมถึงประสานให้เกิดการส่งไม้ต่อการดำเนินงานจากหน่วยงานหนึ่งไปยังอีกหน่วยงานหนึ่งได้อย่างมีบูรณาการ
นอกจากนี้ศาสตราจารย์พิเศษ ดร.ทศพร ศิริสัมพันธ์
เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ได้ให้ข้อคิดเห็นว่า
เกษตรอัจฉริยะเป็นหนึ่งในนโยบายสำคัญของการยกระดับเกษตรกรรมของประเทศไทย ดังนั้น
นอกจากต้องสร้างการบูรณาการด้านความรู้ ข้อมูล และวิธีการต่างๆ จากหลายภาคส่วนแล้ว
สิ่งสำคัญอีกประการหนึ่งคือการยกระดับการใช้เทคโนโลยีในระดับที่สูงขึ้นอย่างเป็นขั้นเป็นตอน
กล่าวคือหลังจากส่งเสริมให้เกษตรกรเริ่มนำเทคโนโลยีที่ไม่ซับซ้อนมากมาใช้
เช่น อากาศยานไร้คนขับระบบน้ำหยด การใช้พลังงานโซล่าเซลล์
ควรผลักดันให้มีการนำเทคโนโลยีที่สูงขึ้นมาใช้ เช่น หุ่นยนต์เพื่อการเกษตร
หรือการใช้ AI (Artificial Intelligence) หรือปัญญาประดิษฐ์
ทั้งนี้ สศช.
ได้ลงพื้นที่จัดประชุมเฉพาะกลุ่ม (FocusGroup)
เพื่อตรวจสอบยืนยันข้อค้นพบจากการศึกษาวิเคราะห์ข้างต้นกับหน่วยงานและภาคีการพัฒนาที่เกี่ยวข้อง
และระดมความเห็นในเชิงลึกเพื่อกำหนดแนวทางการขับเคลื่อนเกษตรอัจฉริยะที่ชัดเจนเป็นรูปธรรม
ก่อนเสนอไปยังระดับนโยบายเพื่อพิจารณา ซึ่งผลการลงพื้นที่จะเป็นอย่างไร คงต้องติดตามต่อ และน่าคิดว่าหาก Smart Farming สามารถผลักดันในทางปฏิบัติได้จริง
จะเปลี่ยนโฉมหน้าภาคการเกษตรไทยไปได้ขนาดไหน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น