อ.แม่แจ่ม เมืองเล็กๆ ใน
จ.เชียงใหม่ ที่ถูกโอบล้อมด้วยขุนเขา
จากพื้นที่เขาเขียวขจีกลับต้องเปลี่ยนเป็นสีเหลือง เพราะแม่แจ่มเป็น 1 ใน 21 อำเภอ ที่ได้ผลกระทบจากภัยแล้งที่หนักสุดในรอบ 40
ปี ทว่ามีเกษตรกรนักสู้อย่าง มนตรี ภาสกรวงศ์ เกษตรกรแห่งบ้านแม่ซา ที่อดีตเคยเป็นพ่อหลวง
ต.แม่นาจร อ.แม่แจ่ม ผู้นำชุมชนสู้ภัยแล้งต้นแบบในโครงการ “เอสซีจีร้อยใจ
108 ชุมชนรอดภัยแล้ง” ผู้สืบสานพระราชปณิธานปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง
เพราะเชื่อในหลักการพึ่งพาตนเอง ด้วยการลุกขึ้นมาบริหารจัดการน้ำ ไม่รอพึ่งพาเพียงแหล่งน้ำธรรมชาติ
และทำเกษตรทฤษฎีใหม่ ที่ช่วยสร้างทางเลือกในการทำเกษตรได้หลากหลาย
พ่อหลวงมนตรีมีที่ดินมรดกกว่า 27 ไร่
แต่กลับเป็นพื้นที่เสื่อมโทรมบนภูเขาหัวโล้น
เพราะบอบช้ำจากการเพาะปลูกพืชเชิงเดี่ยวที่สามารถขายทำกำไรแต่ละปีแล้วขาดการบำรุงแร่ธาตุ
จนผืนดินค่อยๆ เสื่อมโทรมลง และถูกปล่อยให้รกร้างในที่สุดหันหลังจากแรงงานรับจ้าง
สืบสานรากฐานเกษตรกรไทย ก่อนผันตัวเองมาทำเกษตรทฤษฎีใหม่อย่างจริงจัง
พ่อหลวงมนตรีเคยทิ้งถิ่นฐานบ้านเกิดไปรับจ้างขายแรงงานในเมือง ด้วยเชื่อว่า
จะเป็นทางออกที่ทำให้ชีวิตครอบครัวมีฐานะมั่นคงและมีความสุข
เพราะจะสามารถหารายได้ได้เพียงพอ สุดท้ายก็พบว่า ค่าจ้างแรงงานที่แม้จะสูง
ก็ไม่เพียงพอเมื่อเทียบกับต้นทุนชีวิตที่มีค่าใช้จ่าย ทั้งอาหาร และที่พัก
จึงถึงเวลากลับภูมิลำเนา เพื่อสืบสานรากฐานที่เติบโตมาจากครอบครัวเกษตรกร หลังจากกลับบ้านเกิด
พ่อหลวงมนตรีได้รับความไว้วางใจให้เป็นผู้นำชุมชนเป็นเวลากว่า 9 ปี จึงทำให้เห็นวังวนปัญหาของวิถีเกษตรกรไทย
ที่ต้องเผชิญกับสภาพดินเสื่อม น้ำไม่เพียงพอ ขาดแคลนเงินทุน
จำต้องปลูกพืชเชิงเดี่ยวแม้จะขาดทุน
พ่อหลวงมนตรีจึงลุกขึ้นมาสวนกระแสเกษตรกรส่วนใหญ่
ด้วยการทำ “เกษตรอย่างยั่งยืน” โดยหวังว่าจะมีรายได้เลี้ยงครอบครัว
และคืนสมดุลธรรมชาติให้กลับมาอุดมสมบูรณ์ เพื่อให้สามารถพึ่งพาทรัพยากรได้ยืนยาว“ถึงเวลาแล้วที่ตัวเองต้องทำการเกษตรเต็มตัว เป็นเกษตรกรรมที่มีความมั่นคง
ไม่ใช่เพียงเพื่อเลี้ยงตัว แต่ต้องเลี้ยงครอบครัว คืนประโยชน์ให้กับสังคมและสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน
แม้ผู้ริเริ่มจะยากที่จะได้รับการตอบรับก็ตาม” หลักคิดที่พ่อหลวงยึดถือสำหรับการประกอบอาชีพเกษตรกรด้วยจิตสำนึกต่อสิ่งแวดล้อม
ด่านแรกของการเริ่มต้นคือ
จัดสรรผืนดินแห้งแล้งให้มีแหล่งน้ำเพียงพอสำหรับทำเกษตรทฤษฎีใหม่
โดยมีพี่เลี้ยงที่ช่วยแนะนำความรู้เพื่อพลิกฟื้นผืนดินเสื่อมโทรม
จากศูนย์ศึกษาการพัฒนาห้วยฮ่องไคร้ อันเนื่องมาจากพระราชดำริ มูลนิธิอุทกพัฒน์
ในพระบรมราชูปถัมภ์ สถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ (องค์การมหาชน) หรือ สสน.
รวมทั้งเครือข่ายแม่ละอุป และมูลนิธิรักษ์ไทย
ด้วยการนำแนวทางการบริหารจัดการน้ำมาใช้ในพื้นที่
และปรับเปลี่ยนวิถีการทำเกษตรไปเป็นรูปแบบของวนเกษตร พ่อหลวงมนตรีใช้เวลา 3 ปี
ในการพลิกฟื้นผืนดินมรดกเสื่อมโทรมถึงขั้นเป็นเขาหัวโล้น
ให้เป็นพื้นที่ที่สามารถทำการเกษตรได้อย่างอุดมสมบูรณ์ด้วยการ “สร้างแหล่งน้ำ” ตั้งแต่ การสร้างฝายชะลอน้ำ
ขุดสระน้ำ เพื่อกักเก็บน้ำไว้ใช้ในฤดูแล้ง เชื่อมต่อแหล่งน้ำด้วยท่อ
เพื่อนำน้ำมาใช้หมุนเวียน พร้อมวางระบบน้ำแบบหยด
เพื่อให้น้ำซึมไปตามร่องดินที่เก็บน้ำไม่อยู่ผ่านไปสู่พืช
และให้มีน้ำหล่อเลี้ยงพืชได้ตลอดเวลา
ในขณะเดียวกันก็สร้างถังเก็บน้ำสำรองไว้ที่สูง เพื่อเป็นระบบการจัดการน้ำในพื้นที่
โดยใช้แรงดันน้ำดันให้น้ำไหลจากที่สูงลงสู่ที่ต่ำ
เมื่อมีแหล่งน้ำไว้ใช้ก็มีการนำเทคโนโลยีมาใช้
โดยพี่เลี้ยงแนะนำให้ทำระบบโซล่าเซลล์ ช่วยลดต้นทุนค่าไฟฟ้าในการใช้เครื่องสูบน้ำ “แทบไม่น่าเชื่อว่าจากพื้นดินแห้งแล้งกลับมาเพาะปลูกได้
จึงเริ่มจากปลูกผักใบช่วยบำรุงแร่ธาตุในดิน ให้พืชเจริญเติบโต
ตามด้วยการปลูกไม้ผลอีกหลายชนิดพร้อมกันกับเลี้ยงสัตว์ ตามสัดส่วนของพื้นที่”
การขยายพื้นที่แต่ละครั้งของพ่อหลวงมนตรียึดหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง
“ประมาณตน มีเหตุผล และมีภูมิคุ้มกัน” จึงค่อยๆ
ขยายพื้นที่ตามกำลัง เพราะไม่สามารถทำทีเดียวทั้งหมด 27 ไร่
โดยพ่อหลวงมนตรี มุ่งเน้นการจัดสรรพื้นที่การเกษตรให้เหมาะสมกับฤดูกาลและปริมาณน้ำ
พร้อมกับจัดทำวนเกษตร คือการสร้างป่าในพื้นที่แปลงเกษตร
ด้วยการปลูกพืชที่หลากหลายทั้งไม้ยืนต้น ไม้ผล พืชผักสวนครัว และพืชผักหมุนเวียน
เช่น ผักคะน้า ผักกาดขาว ผักกวางตุ้ง ผักบุ้ง ถั่วฝักยาว
ซึ่งเป็นกลุ่มผักที่ใช้ระยะเวลาปลูกและเก็บเกี่ยวสั้น ส่วนระยะกลาง พ่อหลวงมนตรีเลือกปลูกไม้ผล
เช่น มะม่วงน้ำดอกไม้ มะละกอ เสาวรส มะพร้าว เพราะไม้ผลจะมีรอบการผลิตปีต่อปี
รายได้รายปีจึงเกิดจากไม้ผลเป็นส่วนใหญ่ และระยะยาว เป็นการปลูกไม้ยืนต้น เช่น
ไม้สัก ไม้มะค่า ไม้มะฮอกกานี หรือไม้ยืนต้นชนิดอื่นที่ใช้ระยะเวลาการเจริญเติบโต
“ผมใช้เวลา
3 ปี เริ่มจากไปเรียนรู้การบริหารจัดการน้ำ
สร้างแหล่งน้ำคู่กับการทำวนเกษตร ยามแล้งไม่ขาดน้ำ
ในขณะที่ชุมชนโดยรอบยังคงทำการเกษตรปลูกพืชไร่ไม่สอดคล้องกับสภาพดิน
แต่ผมปลูกพืชเศรษฐกิจเพื่อสร้างรายได้ เป็นทุนต่อยอดปลูกพืชชนิดอื่น โดยทีละส่วน
ทำเท่าที่มีเงินทุน
ยังไม่สายหากชุมชนจะเริ่มมองการจัดการน้ำในพื้นที่อย่างเป็นระบบ
และสร้างแหล่งอาหารของตัวเอง แม้จะมีวิกฤตเกิดขึ้น ก็จะผ่านพ้นไปได้อย่างแน่นอน”
พ่อหลวงเล่าถึงรางวัลแห่งการเรียนรู้การพึ่งพาตนเอง
พ่อหลวงมนตรีย้ำว่า
จากที่เริ่มต้นด้วยการวางระบบการบริหารจัดการน้ำและทำเกษตรผสมผสาน
จนสามารถพลิกฟื้นผืนดินแห้งแล้งบนภูเขาหัวโล้นให้เป็นแดนสวรรค์ อุดมสมบูรณ์
พร้อมรับมือฝ่าฟันทุกภัยได้ทั้งวิกฤตภัยแล้ง หัวใจสำคัญคือการหาแหล่งน้ำ
เมื่อน้ำธรรมชาติขาดแคลน
แต่ท้องไร่แห่งนี้ยังมีบ่อน้ำสำรองเพียงพอสำหรับปลูกพืชเป็นแหล่งอาหารได้อย่างมั่นคง
หรือแม้กระทั่งวิกฤตโรคระบาดไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 (COVID-19) ชีวิตเกษตรกรนักสู้ยังดำเนินต่อในวิถีเดิม
เป็นต้นน้ำผลิตอาหาร ฟันเฟืองหนึ่งซึ่งขับเคลื่อนสังคม ช่วยลดการขาดแคลนอาหาร
สร้างความมั่นคงทางอาหารให้กับประเทศในภาวะที่ต้องเผชิญกับวิกฤต
“ไวรัสโควิด-19
ระบาดไปทั่ว มีปัญหาการกักตุนสินค้าขยายวงกว้าง
และเกษตรกรส่วนใหญ่ยังประสบปัญหาภัยแล้ง
แต่ผมกลับมั่นใจในการบริหารจัดการน้ำตามแนวเกษตรทฤษฎีใหม่ว่าจะช่วยลดผลกระทบจากภัยแล้ง
สามารถปลูกพืชและมีผลผลิตที่ได้กินและใช้ในครัวเรือน เหลือก็จำหน่าย
ไม่ต้องซื้อเพิ่มหรือกักตุนเหมือนคนอื่น
ยังไม่สายไปหากชุมชนอื่นจะเริ่มหันมาบริหารจัดการน้ำในพื้นที่อย่างเป็นระบบ
เพื่อทำเกษตร สร้างแหล่งอาหารให้ตนเอง
ซึ่งจะช่วยให้ผ่านพ้นวิกฤตที่กำลังเกิดขึ้นไปได้อย่างแน่นอน”
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น