วันพุธที่ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2562

“เฉลิมชัย” เปิดงาน 10 ปี กรมหม่อนไหม ให้นโยบายเดินหน้าขยายตลาดผ้าไหมทั้งในประเทศและต่างประเทศ



กรมหม่อนไหม กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ จัดงานครบรอบ 10 ปี แห่งการสถาปนากรมหม่อนไหม  "10 ปี หม่อนไหม สืบสาน ต่อยอดภูมิปัญญา พัฒนาเพิ่มผลผลิต"  กรมหม่อนไหม โดยเฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นประธาน และนายวสันต์ นุ้ยภิรมย์ อธิบดีกรมหม่อนไหมพร้อมด้วยคณะผู้บริหารและเจ้าหน้าที่กรมหม่อนไหมให้การต้อนรับ

นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวถึงแนวทางการขับเคลื่อนงานหม่อนไหมว่า นโยบายตลาดนำการผลิตของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นนโยบายที่ให้แนวทางตอบโจทย์การดำเนินงานให้กับกรมหม่อนไหมได้เป็นอย่างดี  ซึ่งงานกรมหม่อนไหมเป็นงานที่สำคัญมาก เพราะเป็นงานที่ดำเนินตามพระราชดำริในสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ที่ทรงอนุรักษ์ส่งเสริมงานหม่อนไหมให้ได้รับการยอมรับทั้งในประเทศและในต่างประเทศมาโดยตลอด กรมหม่อนไหมจึงต้องพัฒนาไหมไทยให้ได้รับการยอมรับในระดับนานาชาติ  ผ้าไหมไทยมีความสวยงามประณีตไม่เหมือนใคร จึงควรเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ให้ทั้งคนไทยและชาวต่างชาติ ได้เห็นถึงเอกลักษณ์ของผ้าไหมไทย

ควรเพิ่มช่องทางการจำหน่ายในสนามบินทุกแห่งและห้างสรรพสินค้าชั้นนำทั่วประเทศ โดยเน้นที่ความหลากหลายของชนิด ลวดลาย และราคาตั้งแต่ราคาย่อมเยาไปจนถึงราคาระดับพรีเมี่ยม เพื่อเป็นทางเลือกให้ผู้สนใจสามารถเลือกซื้อได้ ล่าสุดได้รับการประสานจากการท่าอากาศยานแล้วให้นำผ้าไหมไปจำหน่ายในสนามบินทุกแห่งทั่วประเทศ นอกจากนี้ต้องมีกิจกรรมประชาสัมพันธ์ส่งเสริมให้คนทั่วไปทั้งในประเทศและต่างประเทศสวมใส่ผ้าไหมและใช้ประโยชน์จากผ้าไหมมากยิ่งขึ้น โดยขยายตลาดผ้าไหมทั้งในประเทศและต่างประเทศมากยิ่งขึ้นนายเฉลิมชัย กล่าว

ด้าน นายวสันต์ นุ้ยภิรมย์ อธิบดีกรมหม่อนไหม กล่าวว่า แนวทางการขยายการตลาดผ้าไหมทั้งในประเทศนั้น นอกจากกรมหม่อนไหมจะจัดงานตรานกยูงพระราชทานสืบสานตำนานไหมไทยเป็นประจำทุกปีแล้ว ก็จะเพิ่มการจัดตลาดนัดหม่อนไหมในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัดทุกสัปดาห์ ส่งเสริมการใช้ผ้าไหมเป็นชุดประชุมและรับแขกต่างประเทศ  สวมใส่ชุดผ้าไหมในพิธีสำคัญๆ และในงานเทศกาลต่าง ๆ ให้เป็นเอกลัษณ์ของชาติไทย ส่งเสริมให้ข้าราชการและพนักงานของรัฐและนักเรียนนักศึกษาสวมใส่ผ้าไหมทุกสัปดาห์ รวมถึงส่งเสริมการออกแบบผ้าไหมให้มีความร่วมสมัยมาจำหน่ายมากขึ้น เป้าหมายเพื่อให้เกษตรกรได้มีรายได้เพิ่มมากขึ้น และทำรายได้ให้ประเทศได้ถึง 12,000 ล้านบาท

ส่วนในต่างประเทศนั้น จะส่งเสริมขยายช่องทางการตลาดในประเทศที่เป็นคู่ค้าที่สำคัญของไทย อาทิ สหรัฐอเมริกา สหภาพยุโรป ญี่ปุ่น จีน กลุ่มประเทศอาเซียน กลุ่มประเทศมุสลิม เป็นต้น โดยเน้นผ้าไหมในตลาดแฟชั่นและสินค้าแบรนด์เนม รวมถึงผ้าไหมที่ใช้ในการทำเฟอร์นิเจอร์และการตกแต่งในอาคาร (Home Textile) โดยมีเป้าหมายให้มีรายได้ 3,000 ล้านบาทต่อปี จากเดิม 800 ล้านบาทต่อปี  โดยทั้งในประเทศและต่างประเทศนั้นจะเพิ่มการส่งเสริมในตลาดนัดออนไลน์โดยให้ส่วนราชการร่วมมือกับภาคเอกชน ผู้ประกอบการ นำผลิตภัณฑ์จำหน่ายผ่านระบบออนไลน์ด้วย และเพื่อพัฒนาให้สอดคล้องกับแนวทางดังกล่าว กรมหม่อนไหมจะนำงานวิจัยนวัตกรรมมาปรับใช้ในกระบวนการผลิตเพื่อเพิ่มรายได้ไหมอุตสาหกรรมขึ้นอีก 20% จากเดิม มีผู้เลี้ยงไหมอุตสาหกรรม 4,000 ราย ปริมาณรังไหม 2,800 ตัน มูลค่าสินค้า 500 ล้านบาท เพิ่มจำนวนผู้เลี้ยงไหมเป็น 5,000 ราย ปริมาณรังไหม 3,300 ตัน มูลค่าสินค้า 600 ล้านบาท นอกจากนี้จะเพิ่มผู้เลี้ยงไหมอีรี่ หรือไหมที่ไม่ได้กินใบหม่อนเป็น 2,500 ราย ปริมาณรังไหม 500 ตัน มูลค่าสินค่า 60 ล้านบาท โดยจะส่งเสริมให้มีการจัดทำแปลงเศรษฐกิจพอเพียงเพื่อลดรายจ่าย เพิ่มผลผลิตรังไหมต่อไร่เป็น 150 กิโลกรัม เพิ่มผลผลิตเส้นไหม และเพิ่มพื้นที่ปลูกหม่อนเลี้ยงไหมเป็น 30,000 ไร่

ส่วนการแปรรูป มีเป้าหมายจะเพิ่มรายได้ขึ้นอีก 20% เป็น 320 ล้านบาท จากกลุ่มแปรรูปผลิตภัณฑ์จากใบหม่อน 150 ล้านบาท หม่อนผลสด 150 ล้านบาท และไหม 20 ล้านบาท ซึ่งจะร่วมมือกับภาคเอกชนในการแปรรูปและจัดจำหน่าย  นอกจากนี้ เพื่อให้เกษตรกรมีรายได้เพิ่มมากขึ้น จะเพิ่มปริมาณการผลิตผ้าไหม โดยเฉพาะผ้าไหมที่ได้รับการรับรองมาตรฐานตรานกยูงพระราชทาน 250,000 เมตร และเพิ่มจำนวนผู้ปลูกหม่อนเลี้ยงไหมและผลิตผ้าไหมในกลุ่มผู้สูงวัยและคนรุ่นใหม่เป็น 10,000 รายต่อไปด้วย



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

สวก.หนุนงานวิจัย “ไข่ผำ”...ขับเคลื่อนนวัตกรรมอาหารแห่งอนาคต

  สำนักงานพัฒนาการวิจัยการเกษตร (องค์การมหาชน) หรือ สวก. เดินหน้าพัฒนางานวิจัย      ขานรับนโยบาย รัฐบาล สร้างนวัตกรรมอาหารอนาคต ปฏิรูปภาค...