สศก. แถลง จีดีพีเกษตร 62 ยังขยายตัวได้ 0.5% แม้เผชิญสภาพอากาศแปรปรวน
และเศรษฐกิจโลกที่ผันผวน คาดปี 63
ภาคเกษตรยังโตต่อเนื่อง 2 - 3%
นายนราพัฒน์ แก้วทอง
ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยถึงผลการวิเคราะห์ภาวะเศรษฐกิจการเกษตร ปี 2562
โดยสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) พบว่า ขยายตัวร้อยละ 0.5 เมื่อเทียบกับปี
2561 โดยปัจจัยบวกที่ส่งผลให้ภาคเกษตรขยายตัวได้
คือ สภาพอากาศเย็นในช่วงปลายปี 2561 เอื้ออำนวยให้ไม้ผลทั้งทุเรียน มังคุด
และเงาะมีการออกดอกติดผลให้ผลผลิตได้จำนวนมาก ไม้ยืนต้นมีเนื้อที่ให้ผลเพิ่มขึ้น
ทำให้ผลผลิตเพิ่มขึ้น และในส่วนของการผลิตสินค้าปศุสัตว์
มีระบบการผลิตที่ได้มาตรฐาน มีการวางแผนการผลิตและการเฝ้าระวังควบคุมโรคระบาดอย่างต่อเนื่อง
ประกอบกับกระทรวงเกษตรฯ ได้มุ่งพัฒนาภาคเกษตร โดยเน้นเกษตรกรเป็นศูนย์กลาง
และให้ความสำคัญต่อการขับเคลื่อนนโยบายไปสู่การปฏิบัติ
โดยได้ดำเนินนโยบายที่สำคัญอย่างต่อเนื่อง อาทิ การพัฒนาเกษตรกรสู่ Smart Farmer และพัฒนาสถาบันเกษตรกรให้มีความเข้มแข็ง
ซึ่งช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต ลดต้นทุนการผลิต
ส่งเสริมให้เกษตรกรเป็นเกษตรกรมืออาชีพ
โดยใช้หลักการตลาดนำการผลิตควบคู่กับการใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรม
ทำให้การผลิตสินค้าเกษตรสอดคล้องกับความต้องการของตลาดและมีคุณภาพมาตรฐานมากขึ้น
อย่างไรก็ตาม สภาพอากาศที่แปรปรวน ประกอบกับปริมาณน้ำน้อยกว่าปีที่ผ่านมา
ส่งผลต่อการเติบโตของข้าว อ้อย และสับปะรด นอกจากนี้
ฝนที่มาล่าช้าและภาวะฝนทิ้งช่วงยังทำให้เกษตรกรปรับเปลี่ยนการเพาะปลูกพืช รวมไปถึงในช่วงปลายเดือนสิงหาคม - กันยายน 2562
พื้นที่ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคเหนือ ได้รับผลกระทบจากพายุโซนร้อน “โพดุล”
ส่งผลพื้นที่เพาะปลูกพืชได้รับความเสียหาย
รวมทั้งการระบาดของโรคและแมลงศัตรูพืช อาทิ หนอนกระทู้ข้าวโพดลายจุด
โรคใบด่าง มันสำปะหลัง โรคไหม้ข้าว และโรคใบร่วงยางพารา
ทำให้ผลผลิตได้รับความเสียหาย อีกทั้ง การส่งออกสินค้าเกษตรและผลิตภัณฑ์ มีทิศทางลดลง จากเศรษฐกิจโลกชะลอตัว
ทั้งนี้ ทิศทางภาวะเศรษฐกิจการเกษตร ปี 2563
คาดว่า จะขยายตัวอยู่ในช่วงร้อยละ 2.0 - 3.0
ด้วยปัจจัยสนับสนุนจากการดำเนินนโยบายด้านการเกษตรที่ต่อเนื่อง
ทั้งการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ การส่งเสริมการรวมกลุ่ม
การส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีในการผลิตและยกระดับคุณภาพสินค้าเกษตร
การบริหารการผลิตให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาด ซึ่งช่วยลดต้นทุน
ทำให้เกษตรกรมีรายได้ที่มีเสถียรภาพมากขึ้น
นอกจากนี้ เศรษฐกิจไทยโดยรวม และเศรษฐกิจโลก ในปี 2563 ยังมีแนวโน้มขยายตัว
รวมทั้งการส่งเสริมการบริโภคและการใช้สินค้าเกษตรในประเทศอย่างต่อเนื่อง
จะเป็นปัจจัยที่สนับสนุนให้ภาคเกษตรในปี 2563 ขยายตัวได้ดี
ด้าน นายระพีภัทร์ จันทรศรีวงศ์ เลขาธิการ สศก. กล่าวว่า
หากพิจารณาแต่ละสาขา พบว่า สาขาพืช สาขาปศุสัตว์ สาขาบริการทางการเกษตร
และสาขาป่าไม้ ยังคงขยายตัว ในขณะที่สาขาประมงหดตัว โดย สาขาพืช ขยายตัวร้อยละ
0.7
เป็นผลจากไม้ผลและไม้ยืนต้นมีการเติบโตและให้ผลผลิตได้ดี
โดยผลผลิตพืชที่เพิ่มขึ้น ได้แก่ ยางพารา ปาล์มน้ำมัน เนื่องจาก เนื้อที่ให้ผลเพิ่มขึ้น
และต้นยางพาราและต้นปาล์มน้ำมันส่วนใหญ่อยู่ในช่วงอายุที่ให้ผลผลิตได้มาก
มันสำปะหลัง
มีผลผลิตเพิ่มขึ้นจากเนื้อที่เก็บเกี่ยวเพิ่มขึ้น
ซึ่งเป็นผลจากราคามันสำปะหลังในปีที่ผ่านมาอยู่ในเกณฑ์ดี ไม้ผล ทุเรียน มังคุด
และเงาะ มีผลผลิตเพิ่มขึ้น เนื่องจากสภาพอากาศเย็นในช่วงปลายปี 2561
เอื้ออำนวยให้มีการออกดอกและติดผลได้มากขึ้น อีกทั้งราคา ในปีที่ผ่านมาอยู่ในเกณฑ์ดี จูงใจให้เกษตรกรมีการบำรุงและดูแลรักษามากขึ้น
รวมทั้งมีพื้นที่ปลูกใหม่ที่เริ่มให้ผลผลิตเพิ่มขึ้นอีกด้วย
ผลผลิตพืชที่ลดลง ได้แก่ ข้าวนาปี
เนื่องจากเนื้อที่เพาะปลูกลดลงจากปีที่ผ่านมา
บางพื้นที่ประสบภัยแล้งและฝนทิ้งช่วงในช่วงต้นฤดูปลูก
เกษตรกรบางส่วนจึงปล่อยพื้นที่ว่าง และผลกระทบจากพายุโพดุลและคาจิกิ ข้าวนาปรัง
มีผลผลิตลดลง เนื่องจากปริมาณน้ำในอ่าง และแหล่งน้ำธรรมชาติมีปริมาณน้ำน้อย
ภาครัฐจึงมีโครงการสานพลังประชารัฐเพื่อสนับสนุนการปลูกข้าวโพดหลังฤดูทำนาแทนข้าวนาปรัง
และโครงการส่งเสริมการปลูกพืชหลากหลายฤดูนาปรังปี 2562 ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ในภาพรวมมีผลผลิตลดลง
แม้ว่าช่วงครึ่งปีแรกจะมีผลผลิตเพิ่มขึ้นจากการปลูกข้าวโพดหลังฤดูทำนา
แต่สภาพอากาศแห้งแล้งและภาวะฝนทิ้งช่วง
รวมทั้งมีการระบาดของหนอนกระทู้ข้าวโพดลายจุดในหลายพื้นที่
ส่งผลให้ผลผลิตรวมทั้งปีลดลง อ้อยโรงงาน มีผลผลิตลดลง
เนื่องจากปริมาณน้ำไม่เพียงพอต่อการเติบโต ทำให้ผลผลิตต่อไร่ลดลง สับปะรดโรงงาน
มีผลผลิตลดลง เนื่องจากในปีที่ผ่านมาราคาตกต่ำ ไม่จูงใจให้เกษตรกรขยายเนื้อที่เพาะปลูก
รวมถึงต้นสับปะรดไม่สมบูรณ์จากภัยแล้ง
สาขาปศุสัตว์ ขยายตัวร้อยละ 0.8 ผลผลิตปศุสัตว์ที่เพิ่มขึ้น ได้แก่ ไก่เนื้อ
ผลผลิตเพิ่มขึ้นจากการขยายการผลิตรองรับความต้องการของตลาด โดยเฉพาะการส่งออกไปยังตลาดหลักทั้งญี่ปุ่น
สหภาพยุโรป และอาเซียน ที่ขยายตัวต่อเนื่อง นอกจากนี้
ยังมีความต้องการบริโภคจากต่างประเทศเพิ่มขึ้นทดแทนเนื้อสุกรที่เกิดโรคระบาด ASF ทั้งในเกาหลีใต้และจีน โคเนื้อ มีผลผลิตเพิ่มขึ้นจากการขยายการผลิตโคเพื่อตอบสนองความต้องการของตลาดทั้งในประเทศและประเทศเพื่อนบ้าน
ประกอบกับการดำเนินมาตรการส่งเสริมการเลี้ยงโคเนื้อของภาครัฐ และ น้ำนมดิบ
มีผลผลิตเพิ่มขึ้น จากจำนวนแม่โครีดนมเพิ่มขึ้น
การคัดทิ้งแม่โคที่มีอัตราการให้น้ำนมน้อยออกจากฟาร์มและทดแทนด้วยแม่โคพันธุ์ดี
รวมทั้งเกษตรกรมีการบริหารจัดการฟาร์มที่ดีส่งผลให้ปริมาณน้ำนมดิบเพิ่มขึ้น
ผลผลิตปศุสัตว์ที่ลดลง ได้แก่ สุกร
เนื่องจากการลดปริมาณการผลิตของเกษตรกรรายย่อย จากราคาสุกรที่ตกต่ำอย่างต่อเนื่องในปีที่ผ่านมา
และไข่ไก่ มีผลผลิตลดลง เนื่องจากการดำเนินมาตรการรักษาเสถียรภาพไข่ไก่โดยการปรับลดแม่ไก่ยืนกรงให้มีปริมาณที่เหมาะสม รวมทั้งการปรับลดแผนการนำเข้าไก่ไข่พันธุ์ (GP-PS)
สาขาประมง หดตัวร้อยละ 1.3
เนื่องจากผลผลิตประมงทะเลในส่วนของปริมาณสัตว์น้ำที่นำขึ้นท่าเทียบเรือลดลงจากสภาพอากาศที่แปรปรวน
และการออกเรือจับสัตว์น้ำลดลง ประมงน้ำจืด ได้แก่ ปลานิล และปลาดุก มีผลผลิตลดลง
เนื่องจากภาวะภัยแล้ง ประกอบกับแหล่งผลิตสำคัญในภาคตะวันออกเฉียงเหนือประสบอุทกภัยจากพายุโพดุล
ส่งผลให้ผลผลิตประมงน้ำจืดลดลง อย่างไรก็ตาม กุ้งทะเลเพาะเลี้ยง
มีผลผลิตออกสู่ตลาดเพิ่มขึ้น โดยเกษตรกรมีการบริหารจัดการฟาร์มที่ดี
ภาครัฐมีการส่งเสริมการบริโภคภายในประเทศ โดยผ่าน Modern Trade เช่น Lotus และ Macro
สาขาบริการทางการเกษตร ขยายตัวร้อยละ 2.7
เนื่องจากการจ้างบริการเครื่องจักรกลทางการเกษตรไปใช้ทดแทนแรงงานคนในกระบวนการผลิตมีมากขึ้น
ทั้งการเตรียมพื้นที่เพาะปลูกข้าว ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ และมันสำปะหลัง
การจ้างบริการเกี่ยวนวดข้าว การจ้างบริการเครื่องขุดมันสำปะหลัง การนำอุปกรณ์รถตัดอ้อย-สางอ้อยมาใช้เก็บเกี่ยว รวมทั้งมีการใช้บริการโดรนสำหรับฉีดพ่นในพื้นที่เพาะปลูกเพิ่มขึ้น นอกจากนี้
การส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีและสนับสนุนในการจัดหาเครื่องจักรกลการเกษตรของภาครัฐ
ทำให้กลุ่มเกษตรกรบางส่วน หันมาใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมด้านการเกษตรเพื่อลดต้นทุนการผลิตและประหยัดเวลาในการทำงาน
สาขาป่าไม้ ขยายตัวร้อยละ 2.0 เนื่องจากไม้ยูคาลิปตัส
ยังคงเป็นที่ต้องการของตลาดทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยเฉพาะประเทศจีนและญี่ปุ่น
ในการนำไปใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิตกระดาษ และแปรรูปเป็นเชื้อเพลิงชีวมวล (wood pellet) ส่วนผลผลิตครั่งเพิ่มขึ้น
เนื่องจากมีการขยายพันธุ์และเจริญเติบโตได้ดีขึ้น
ประกอบกับประเทศคู่ค้าหลักอย่างประเทศอินเดียมีความต้องการเพิ่มขึ้น ในขณะที่
ไม้ยางพารา ลดลงจากการตัดโค่นพื้นที่สวนยางพาราเก่าไม่เป็นไปตามเป้าหมาย
เนื่องจากโครงการสร้างความเข้มแข็งให้เกษตรกรชาวสวนยาง และโครงการประกันรายได้
เกษตรกรจึงตัดโค่นไม้ยางพาราลดลงเพื่อรอรับเงินชดเชย
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น