เลขาธิการ สทนช. ลงพื้นที่ติดตามการแก้ปัญหาน้ำเค็มรุกแม่น้ำเจ้าพระยา
เร่งสกัดทะลักกระทบการผลิตน้ำประปาเพื่อการบริโภค-อุปโภคของประชาชน หนุนดันผลศึกษาแผนหลักการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำลุ่มน้ำเจ้าพระยาใหญ่แก้ปัญหาน้ำท่วม-น้ำแล้งซ้ำซากในระยะยาว
พร้อมเสริมความมั่นคงในการใช้น้ำอุปโภค-บริโภคและอุตสาหกรรม ลดการใช้น้ำบาดาลปีละ 612 ล้านลบ.ม.
ดร.สมเกียรติ ประจำวงษ์ เลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) |
ดร.สมเกียรติ ประจำวงษ์ เลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ
(สทนช.) ในฐานะรองผู้อำนวยการกองอำนวยการน้ำแห่งชาติ (กอนช.) พร้อมคณะ
ลงเรือสำรวจแม่น้ำเจ้าพระยา ติดตามการตรวจวัดคุณภาพน้ำบริเวณปากคลองมหาสวัสดิ์
เขตตลิ่งชัน กรุงเทพมหานคร จากนั้นได้เดินทางต่อไปยังประตูระบายน้ำคลองลัดโพธิ์อันเนื่องมาจากพระราชดำริ
อำเภอพระประแดง จังหวัดสมุทรปราการ
เพื่อติดตามความก้าวหน้าการบริหารจัดการน้ำเพื่อควบคุมความเค็มในแม่น้ำเจ้าพระยาเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดผลกระทบต่อการผลิตน้ำประปา
เลขาธิการ สทนช.
กล่าวภายหลังลงพื้นที่ติดตามสถานการณ์น้ำในแม่น้ำเจ้าพระยาว่า ตามที่ พล.อ.ประวิตร
วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะผู้อำนวยการกองอำนวยการน้ำแห่งชาติ (กอนช.)
ได้สั่งการให้ สทนช. กรมชลประทาน การประปานครหลวง (กปน.) และการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย
(กฟผ.) เร่งรัดติดตามผลการเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการน้ำเพื่อแก้ไขปัญหาค่าความเค็มในลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาใหญ่ไม่ให้ส่งผลกระทบต่อการผลิตน้ำประปาเพื่อการอุปโภค-บริโภคของประชาชน
สทนช. ได้ลงพื้นที่เพื่อติดตามตามข้อสั่งการดังกล่าวอย่างเร่งด่วน โดยได้มีการเพิ่มการระบายน้ำจากลุ่มน้ำแม่กลองผ่านคลองมหาสวัสดิ์
ในปริมาณ 60 ลบ.ม. ต่อวินาที คิดเป็นปริมาณน้ำที่ระบายเพิ่มเติมอีก 500 ล้านลูกบาศก์เมตร ไปจนถึงเดือนมิถุนายนนี้ (จากเดิมที่มีแผนระบายแล้ว 500 ล้านลูกบาศ์เมตร) มาช่วยผลักดันความเค็มในแม่น้ำเจ้าพระยา ร่วมกับการดำเนินการมาตรการอื่นๆ ได้แก่ การบริหารจัดการอาคารชลประทานให้สัมพันธ์กับช่วยเวลาน้ำขึ้นน้ำลง
โดยหน่วงน้ำในพื้นที่ด้านบนบริเวณหน้าเขื่อนทดน้ำเจ้าพระยา จังหวัดชัยนาทด้วยการบริหารปิด/เปิดบานระบายให้สัมพันธ์กับช่วงเวลาน้ำขึ้น–น้ำลง
สอดคล้องการบริหารจัดการน้ำในพื้นที่ด้านท้ายแม่น้ำเจ้าพระยาบริเวณประตูระบายน้ำคลองลัดโพธิ์ฯจังหวัดสมุทรปราการ
ซึ่งจะปิดประตูระบายน้ำในช่วงเวลาน้ำขึ้น
เพื่อไม่ให้น้ำเค็มรุกเข้ามาในแม่น้ำและจะเปิดบานระบายน้ำในช่วงเวลาน้ำลงเพื่อเร่งระบายน้ำหรือการกระแทกน้ำ
ในแม่น้ำเจ้าพระยาให้ไล่น้ำเค็มออกสู่ทะเลโดยเร็ว
ส่วนการวางแผนแก้ปัญหาในระยะยาวนั้น สทนช. ได้มอบหมายให้กลุ่มบริษัทที่ปรึกษาดำเนินโครงการศึกษาเพื่อจัดทำแผนหลักการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำกลุ่มลุ่มน้ำเจ้าพระยาใหญ่ประกอบด้วย
ลุ่มน้ำสาละวิน โขงเหนือ ปิง วัง ยม น่าน เจ้าพระยา ท่าจีน สะแกกรัง
และป่าสักให้แล้วเสร็จโดยเร็ว ซึ่งแผนดังกล่าวสอดคล้องกับแผนแม่บทการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ
20 ปี
สำหรับความคืบหน้าผลจากการศึกษาที่ล่าสุด
ได้มีการสรุปผลประชุมรับฟังความคิดเห็นจากทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องเรียบร้อยแล้ว
กล่าวคือ โครงการในกลุ่มลุ่มน้ำเจ้าพระยาใหญ่มีทั้งหมด 13,748 โครงการ เป็นโครงการขนาดใหญ่ที่รัฐบาลให้ความสำคัญ
81 โครงการ สามารถบรรเทาพื้นที่ภัยแล้งได้ 2,155,000 ไร่ และสามารถบรรเทาปัญหาน้ำท่วมได้ 2,857,000 ไร่
อีกทั้งมีโครงการที่บรรจุในแผนหลัก 13,667 โครงการ
แบ่งเป็นระยะเร่งด่วน (พ.ศ.2564-2565) จำนวน 3,615 โครงการ ระยะสั้น (พ.ศ.2566-2570) จำนวน 7,785 โครงการ ระยะปานกลาง (พ.ศ.2571-2575) จำนวน 1,030 โครงการ และระยะยาว (พ.ศ.2576-2580) จำนวน 1,237 โครงการ โดยโครงการที่อยู่ในระยะเร่งด่วนเป็นโครงการแก้ไขปัญหาภัยแล้ง
จำนวน 653 โครงการ สามารถบรรเทาพื้นที่ภัยแล้งได้ 161,000 ไร่ เป็นโครงการแก้ไขปัญหาน้ำท่วม จำนวน 100
โครงการ สามารถบรรเทาพื้นที่น้ำท่วมได้ 194,000 ไร่ ทั้งนี้
สทนช.จะเร่งนำผลการศึกษาไปสู่แผนปฏิบัติการและขับเคลื่อนโดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการแก้ไขปัญหาด้านน้ำโดยเร็วต่อไป
ทั้งนี้
นอกจากการปรับปรุงแหล่งน้ำเดิมให้สามารถเก็บกักน้ำได้เพิ่มขึ้นแล้ว
โครงการสำคัญในพื้นที่กลุ่มลุ่มน้ำเจ้าพระยาใหญ่ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต สามารถบรรเทาปัญหาทั้งน้ำท่วมและน้ำแล้งได้
อาทิ โครงการเพิ่มปริมาณน้ำต้นทุนให้เขื่อนภูมิพล ตำบลสบเงา อำเภอสบเมย
จังหวัดแม่ฮ่องสอน โดยจะสูบน้ำจากอ่างเก็บน้ำน้ำยวมตอนล่างผ่านอุโมงค์ไปลงห้วยแม่งูด
เฉลี่ยปีละ 1,795 ล้านลบ.ม. โดยใช้เขื่อนน้ำยวมตอนล่าง ทำหน้าที่เก็บกักน้ำและทดน้ำเข้าสู่สถานีสูบน้ำบ้านสบเงา
แล้วสูบน้ำขึ้นสู่ถังพักน้ำก่อนปล่อยเข้าอุโมงค์ส่งน้ำ ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 8.3-8.5 เมตร ความยาวรวม 61.85 กิโลเมตร งบประมาณโครงการ 71,000 ล้านบาท ระยะเวลาก่อสร้างโครงการ 7 ปี (พ.ศ. 2564-2570)
โครงการนี้จะผลิตกระแสไฟฟ้าเพิ่มขึ้น 516
ล้านหน่วยต่อปี มูลค่า 1,855 ล้านบาท เพิ่มพื้นที่เกษตรกรรม 9.3 แสนไร่ มูลค่า 3,104 ล้านบาท เสริมความมั่นคงในการใช้น้ำอุปโภค-บริโภคและอุตสาหกรรมลดการใช้น้ำบาดาลปีละ
612 ล้าน ลบ.ม. ปัจจุบัน
กรมชลประทานศึกษาความเหมาะสมโครงการและผลกระทบสิ่งแวดล้อมแล้วเสร็จ
และอยู่ระหว่างการเสนอรายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) ต่อคณะกรรมการผู้ชำนาญการพิจารณารายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมด้านพัฒนาแหล่งน้ำ
(คชก.) และโครงการผันน้ำกก อิง และน่าน เพื่อเพิ่มน้ำต้นทุนให้กับเขื่อนสิริกิติ์
จังหวัดอุตรดิตถ์ มีองค์ประกอบแนวผันน้ำ 2 ช่วง คือ
ช่วงจากแม่น้ำกกไปแม่น้ำอิง (กก-อิง) ความยาว 56.7 กิโลเมตร
และช่วงจากแม่น้ำอิงไปแม่น้ำน่าน (อิง-ยอด) ความยาว 64.7
กิโลเมตร เป็นคลองผันน้ำแบบคลองเปิด ท่อผันน้ำ (ฝังกลบ) อุโมงค์ผันน้ำ
และอาคารประกอบอื่นๆ โดยผันน้ำ เฉลี่ยปีละ 2,000 ล้าน ลบ.ม.
ลงสู่ลุ่มน้ำน่านตอนบนเหนือเขื่อนสิริกิติ์ หากรวม 2
โครงการแล้ว สามารถผันน้ำได้ 3,795 ล้าน ลบ.ม.
ต่อปีในช่วงฤดูน้ำหลาก
นอกจากนี้ ยังมีโครงการเพื่อแก้ไขและบรรเทาอุทกภัยในพื้นที่ลุ่มน้ำเจ้าพระยาตอนล่าง
ซึ่งประกอบด้วยแผนงานจำนวน 9 แผนงาน ได้แก่ 1) โครงการปรับปรุงระบบชลประทานเจ้าพระยาฝั่งตะวันออกตอนล่าง
2) โครงการคลองระบายน้ำหลากชัยนาท-ป่าสัก-อ่าวไทย 3) โครงการคลองระบายน้ำควบคู่ถนนวงแหวนรอบที่สาม 4) โครงการปรับปรุงโครงข่ายระบบชลประทานฝั่งตะวันตก
5) โครงการเพิ่มประสิทธิภาพการระบายน้ำแม่น้ำเจ้าพระยา 6)
โครงการบริหารจัดการพื้นที่นอกคันกั้นน้ำ 7) โครงการคลองระบายน้ำหลากบางบาล-บางไทร
8) โครงการเพิ่มประสิทธิภาพการระบายน้ำแม่น้ำท่าจีน และ 9)
โครงการพื้นที่รับน้ำนอง
โดยความก้าวหน้าล่าสุดของโครงการคลองระบายน้ำหลากบางบาล-บางไทร
ได้ดำเนินการออกแบบรายละเอียด พร้อมศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อม EIA การเวนคืนที่ดินและจัดเตรียมพื้นที่ก่อสร้างตั้งแต่ ปี 2562-2566 กรอบวงเงินรวมประมาณ 21,000 ล้านบาท
ประกอบด้วยงานขุดลอกคลองระบายน้ำ ระยะทาง 22.4 กม.
ระบายน้ำได้สูงสุด 1,200 ลบ.ม./วินาที ก่อสร้างถนนบนคันคลอง
ประตูระบายน้ำในลำน้ำและปลายคลองขุดและก่อสร้างเขื่อนพระนครศรีอยุธยา ซึ่งเมื่อแล้วเสร็จบริเวณจังหวัดพระนครศรีอยุธยาสามารถระบายน้ำเพิ่มขึ้นได้รวม
2,000 ลบ.ม./วินาที ซึ่งที่ผ่านมาหากมีปริมาณการระบายมากกว่า
800 ลบ.ม./วินาที จะเกิดผลกระทบต่อชุมชนริมน้ำ
พื้นที่เขตเศรษฐกิจ โบราณสถานสำคัญ และพื้นที่ชุมชนเมืองพระนครศรีอยุธยา
ขณะเดียวกัน ยังมีแผนการดำเนินการระยะยาวโดยสร้างเครื่องมือการบริหารจัดการน้ำ
เพื่อแก้ไขปัญหาน้ำท่วมน้ำแล้งในอนาคต” ดร.สมเกียรติ กล่าว
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น