นายอาชว์ชัยชาญ เลี้ยงประยูร รองอธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตร
ในฐานะประธานศูนย์ติดตามและแก้ไขปัญหาภัยแล้งด้านการเกษตร ปี 2563
กรมส่งเสริมการเกษตร เผยว่า ในช่วงสภาพอากาศที่ร้อนและแห้งแล้งนี้ จากการติดตามรายงานสถานการณ์การระบาดของหนอนกระทู้ข้าวโพดลายจุดของกรมส่งเสริมการเกษตร
พบว่าเกษตรกรผู้ปลูกข้าวโพดโดยเฉพาะอย่างยิ่งในจังหวัดกาญจนบุรี เชียงราย ตาก แพร่
และลพบุรี อยู่ในระยะการเจริญเติบโตทางลำต้นจนถึงระยะสร้างเมล็ด
มักพบการระบาดของหนอนกระทู้ข้าวโพดลายจุดได้ทุกระยะการเจริญเติบโต
ซึ่งนอกจากข้าวโพดแล้วหนอนกระทู้ข้าวโพดลายจุดยังมีพืชอาหารมากกว่า 80 ชนิด เช่น
ข้าว ข้าวฟ่าง อ้อย ฝ้าย ทานตะวัน และถั่วเหลือง เป็นต้น
ลักษณะของหนอนกระทู้ข้าวโพดลายจุด
ตัวเต็มวัยเป็นผีเสื้อกลางคืน มีขนาด 3.2 – 4 เซนติเมตร มีแถบสีขาวที่ขอบปีกคู่หน้า
กลางปีกมีแถบลักษณะเป็นวงรีสีน้ำตาล เพศเมียมีสีและลวดลายจางกว่าเพศผู้
เพศเมียจะวางไข่ในเวลากลางคืน โดยวางไข่เป็นกลุ่มใต้ใบพืช แต่ละกลุ่มจะมีไข่ประมาณ
100 – 200 ฟอง และมีขนสีน้ำตาลอ่อนปกคลุม
เพศเมียหนึ่งตัววางไข่ได้ประมาณ 1,500 – 2,000 ฟอง ระยะไข่ 2
– 3 วัน ระยะหนอน 14 – 22 วัน หนอนที่โตเต็มที่มีขนาดลำตัวยาวประมาณ
3.2 – 4 เซนติเมตร ส่วนบนของหัวมีแถบสีขาวเป็นรูปตัว Y
หัวกลับ
ส่วนหลังและด้านข้างมีแถบสีขาวตามยาวลำตัวปล้องท้องก่อนปล้องสุดท้ายมีจุดสีดำ 4
จุด เรียงเป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส ตัวหนอนจะเข้าดักแด้ในดิน ระยะดักแด้ 7
– 13 วัน จึงออกเป็นตัวเต็มวัยและมีชีวิตอยู่ได้ 10 – 21 วัน วงจรชีวิตของหนอนกระทู้ข้าวโพดลายจุด ใช้เวลาประมาณ 30 – 40วัน เมื่อผสมพันธุ์แล้ว การเข้าทำลายตัวหนอนจะทำลายข้าวโพดตั้งแต่อายุประมาณ
7 วัน จนกระทั่งออกฝัก โดยกัดกินยอดและใบข้าวโพดแหว่งหรือกัดกินทั้งใบ
ช่อดอกตัวผู้ ฝัก เมล็ด ตัวหนอนหลบซ่อนแสงอยู่ที่ยอดหรือโคนกาบใบ หากหนอนทำลายในระยะต้นอ่อนจะทำให้ต้นข้าวโพดตาย
หากหนอนทำลายในระยะต้นแก่ข้าวโพดจะไม่เจริญเติบโต หากหนอนทำลายฝัก
ฝึกจะลีบเล็กไม่สมบูรณ์
กรมส่งเสริมการเกษตรขอแนะนำให้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวโพดหมั่นสำรวจแปลงปลูกอย่างสม่ำเสมอ
หากพบกลุ่มไข่หรือตัวหนอนให้เก็บทำลายทิ้ง
และในการกำจัดหนอนขนาดเล็กที่เพิ่งฟักออกจากไข่ให้ฉีดพ่นด้วยสารชีวภัณฑ์ เช่น
เชื้อบีทีสายพันธุ์ไอซาไว (Bacillus thuringiensis var. aizawai) หรือสายพันธุ์เคอร์สตาร์กี้
(Bacillus thuringiensis var. kurstaki) อัตรา 80 กรัมต่อน้ำ
20 ลิตร พ่นทุก 4-7 วัน และควรพ่นในตอนเย็นจะเกิดประสิทธิภาพการทำลายสูงสุด
สำหรับในแปลงที่ไม่ใช้สารเคมี ให้ใช้แมลงตัวห้ำ เช่น แมลงหางหนีบ มวนเพชฌฆาต หรือ
มวนพิฆาต หากพบการระบาดขอแนะนำให้ใช้สารเคมี เช่น สไปนีโทแรม (กลุ่ม 5)
ฟลูเบนไดอะไมด์ คลอแรนทรานิลิโพรล (กลุ่ม 28 )
และอีมาเมกตินเบนโซเอต (กลุ่ม 6)
เป็นต้น อัตราตามคำแนะนำในฉลากสารเคมี และต้องสลับกลุ่มสารเคมีทุก 30 วัน
(1 รอบวงจรชีวิต) เพื่อป้องกันไม่ให้หนอนดื้อสารเคมี ในการพ่นสารเคมี
ให้เน้นการพ่นละอองสารเคมีลงกรวยยอดมากที่สุด ซึ่งจะเกิดประสิทธิภาพในการทำลายหนอนมากสุด
ส่วนในฤดูกาลปลูกต่อไปขอแนะนำให้เกษตรกรกรไถพรวนและตากดินเพื่อกำจัดดักแด้ที่อยู่ในดิน
ทั้งนี้ ก่อนปลูกควรคลุกเมล็ดด้วยสารเคมีไซแอนทรานิลิโพรล 20% เอสซี (กลุ่ม 28)
อัตราตามคำแนะนำในฉลากสารเคมี หรือหากมีข้อสงสัยให้ติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่สำนักงานเกษตรอำเภอใกล้บ้านท่าน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น