ขณะที่คนทั่วโลกรวมถึงคนเมืองในประเทศไทยกำลังหวาดวิตก
กักตุนอาหาร และเก็บตัวเองอยู่ในบ้าน เพื่อปกป้องตัวเองให้ห่างจากเชื้อไวรัสโควิด-19
ที่คร่าชีวิตผู้คนทั่วโลกอย่างต่อเนื่อง แต่ภัยร้ายจากโรคระบาดที่ว่ารุนแรงแล้ว
ก็ยังไม่อาจสู้ปัญหาเรื่องปากท้องได้ นี่จึงเป็นสาเหตุของการอพยพอีกระลอกของแรงงานกลับสู่ภูมิลำเนาเพื่อหนีความอดอยาก
ผลการสำรวจความคิดเห็นเกษตรกรของสำนักวิจัยซูเปอร์โพล
สถาบันวิจัยความสุขชุมชนและความเป็นผู้นำ เกี่ยวกับผลกระทบภัยแล้งกับโควิด-19 พบว่า เกษตรกรร้อยละ 90.4
เกรงกลัวภัยแล้งมากกว่าโควิด-19 เพราะความรุนแรงของภัยแล้งใกล้ตัวและเกี่ยวข้องกับวิถีชีวิตของเกษตรกรไทยมากกว่าพิษโควิด-19 อีกทั้งความเสียหายทางการเกษตรยังเป็นปัญหาลูกโซ่ที่จะนำไปสู่ปัญหาในวงจรการผลิตของภาคการเกษตรซึ่งเป็นแหล่งอาหาร
รายได้ เป็นความมั่นคงในชีวิตสูงสุดของคนไทย
ระหว่างที่ภาครัฐกำลังเร่งบริหารจัดการโรคระบาด
ขณะเดียวกันเกษตรกรยังต้องการให้ภาครัฐเร่งแก้ปัญหาภัยแล้งให้ครบวงจร
เพื่อปกป้องชีวิตของเกษตรกรและอาหารของคนไทยให้ยั่งยืน
เมื่อท้องถิ่นมีความมั่นคงในการเป็นแหล่งผลิตอาหาร
แรงงานที่หนีภัยโควิด-19 กลับสู่ภูมิลำเนา จะมีทางเลือก
มีอาหาร มีอาชีพ มีความอุดมสมบูรณ์ มีความอบอุ่นจากครอบครัว แล้วความสุขตามวิถีชีวิตพอเพียงก็จะเกิดขึ้นกับชุมชน
ดังกรณีศึกษาด้านการจัดการน้ำของ “ชุมนป่าภูถ้ำ ภูกระแต
อ.แวงน้อย จ.ขอนแก่น” ซึ่งเป็นชุมชนสู้ภัยแล้งต้นแบบในโครงการ
“เอสซีจีร้อยใจ 108 ชุมชนรอดภัยแล้ง”
ที่หลังจากได้เรียนรู้การบริหารจัดการน้ำจากพื้นที่สูง
จากมูลนิธิอุทกพัฒน์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ และสถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ
(องค์การมหาชน) หรือ สสน. ก็สามารถเก็บน้ำไว้ใช้
พร้อมกับสามารถฟื้นฟูและอนุรักษ์ป่ากว่า 2,800 ไร่
จึงทำให้พื้นที่เป็นป่าเขียว พร้อมกับเป็นแหล่งอาหารเลี้ยงตัวเองในชุมชนได้
คุณพิชาญ ทิพวงษ์ คณะกรรมการบริหารจัดการน้ำชุมชนป่าภูถ้ำ ภูกระแต |
คุณพิชาญ ทิพวงษ์
คณะกรรมการบริหารจัดการน้ำชุมชนป่าภูถ้ำ ภูกระแต
เล่าถึงวิถีชีวิตที่ต้องเติบโตมาในพื้นที่ที่แห้งแล้งที่สุดแห่งหนึ่งว่า พื้นที่นี้มีสภาพฝนดี
2 ปี และแล้ง 4 ปี จึงทำให้ชุมชนต้องเผชิญทั้งภัยแล้งสลับกับน้ำท่วมซ้ำซากวนเวียนมากว่า 40 ปี ซึ่งช่วงที่แล้งที่สุด คนในหมู่บ้านกว่า 300 คน
ต้องยืนต่อคิวอาบน้ำในบ่อน้ำบ่อเดียวกัน ส่วนน้ำดื่มต้องตื่นตั้งแต่ตี 2 ตี 3 ไปตักน้ำในบ่อน้ำตื้นใกล้ป่าภูถ้ำ
และเมื่อสิ้นฤดูเพาะปลูก ไม่มีน้ำ คนหนุ่มสาวต่างก็อพยพไปรับจ้างขายแรงงานต่างถิ่น
บางคนไปเป็นชาวประมงหาปลาในทะเล บางคนทำงานก่อสร้างในกรุงเทพฯ
โอกาสที่จะอยู่พร้อมหน้าพร้อมตากันทั้งครอบครัว ก็เฉพาะช่วงเทศกาลปีใหม่ สงกรานต์
เข้าพรรษา และออกพรรษาเท่านั้น
ชาวบ้านร่วมกันวางแผนแหล่งกักเก็บน้ำ ตามระดับความสูงของพื้นที่ |
จุดเปลี่ยนที่นำไปสู่การจุดประกายให้ชุมชนลุกขึ้นมาจัดการน้ำในชุมชนแทนการรอความช่วยเหลือ
เมื่อได้มีโอกาสเจอ ดร.รอยล จิตรดอน ที่ปรึกษา สสนก.
ท่านตั้งคำถามที่ทำให้เกิดการเรียนรู้ เพราะเมื่อก่อนชาวบ้านเป็นนักร้อง
เรียกร้องตรงนั้นตรงนี้ คัดค้านโครงการนั้นโครงการนี้ อาจารย์จึงทิ้งคำถามไว้ว่า
หากคิดว่าสิ่งที่มีอยู่ไม่ดีพอ แล้วเราจะมีวิธีแก้ไขอย่างไร
จึงทำให้เรากลับมาคิดภายใต้โจทย์ใหญ่ของชุมชน ว่าเราจะหาทางเก็บน้ำ 2 ปีให้ข้ามแล้ง 4 ปีได้อย่างไร จากนั้นชุมชนจึงได้เรียนรู้วิธีการสำรวจพื้นที่และพบว่า
ฝนตกแต่ไม่มีพื้นที่เก็บน้ำ จึงเข้าสู่การบริหารจัดเก็บน้ำจากที่สูงด้วยการดักน้ำ
ต้อนน้ำไปในทิศทางที่ต้องการ ขุดแก้มลิงในพื้นที่เกษตร ให้เป็นแหล่งน้ำประจำไร่นา
จากนั้นจึงเริ่มเรียนรู้การจัดรูปที่ดินตามเกษตรทฤษฎีใหม่
เพื่อให้สามารถปลูกพืชได้หลากหลาย
สระน้ำประจำไร่นา จุดรับน้ำไว้ทำการเกษตร |
“หลังจากมีการจัดรูปที่ดินตามเกษตรทฤษฎีใหม่
มีแหล่งน้ำประจำไร่นา ก็สามารถปลูกพืชหลากหลายมากขึ้นจากเมื่อก่อนปลูกพืชเชิงเดี่ยว
ปัจจุบันปลูกผักหวาน ข่า ตะไคร้ มะนาว ฝรั่ง มะละกอ แตง ฟักทอง
พืชผักป่าที่ใช้น้ำน้อยเก็บขายตามฤดูกาล
ทำให้เกษตรกรที่อพยพไปทำงานต่างถิ่นได้กลับมาอยู่ในพื้นที่ของตัวอง
มีพืชพันธุ์ธัญญาหารอุดมสมบูรณ์ มีรายได้เพิ่มขึ้นกว่า 4
เท่า จากเดิม 30,000 - 50,000 บาท/ปี เป็น 120,000 บาท/ปี และช่วยให้รายจ่ายโดยเฉพาะค่าอาหารลดลงกว่าเดือนละ 3,000 บาท ทำให้อยู่รอดผ่านภัยแล้งได้ในปัจจุบัน”
แปลงเกษตรทำได้ เมื่อมีน้ำใช้ตลอดปี |
คุณพิชาญ เล่าถึงผลสำเร็จว่า
เมื่อเริ่มต้นจัดการน้ำทำให้ชุมชนมีแหล่งกักเก็บน้ำถึง 1 แสนลูกบาศก์เมตร
มีน้ำใช้พอเพียงได้อีก 4-5 ปี
โดยไม่เดือดร้อนแม้จะเจอกับภัยแล้ง ชุมชนมีความมั่นคงทางน้ำ อาหาร เศรษฐกิจ
และทรัพยากรธรรมชาติ
ทำให้คนในท้องถิ่นไม่ต้องอพยพย้ายถิ่นฐานไปหางานในเมืองหลวงหรือต่างจังหวัด
เกษตรกรใน ต.แวงน้อย หันมาปรับเปลี่ยนทำเกษตรทฤษฎีใหม่ ทำให้ 68 ครัวเรือนสร้างรายได้เพิ่มขึ้น 3-4 เท่า
หรือปีละไม่น้อยกว่า 12 ล้านบาท
“พี่น้องชุมชนที่ยังไม่รู้จักจัดการตัวเอง
อย่ารอคนอื่นมาแก้ไขปัญหา เมื่อน้ำคือชีวิต ทุกคนต้องการน้ำ
เราต้องลุกขึ้นมาร่วมมือกันเรียนรู้ เพื่อที่จะรอดแล้งในปี 2563 ด้วยการจัดการน้ำแบบมีส่วนร่วม จึงมีน้ำใช้ในฤดูแล้ง มีรายได้เพิ่มขึ้น
คนไม่อพยพแรงงานไปในเมือง ป่าต้นน้ำมีความเขียวชอุ่ม แม้ในฤดูแล้ง”
การน้อมนำแนวพระราชดำริของในหลวง
รัชกาลที่ 9 มาปรับใช้ จึงได้รู้ซึ้งว่าสิ่งที่พระองค์ท่านตรากตรำพระวรกายมาทั้งชีวิต
เพื่อให้พวกเราได้เรียนรู้และพัฒนาตนเองให้เกิดความยั่งยืน
สามารถสำเร็จได้จากการลงมือทำร่วมมือกันเพื่อพึ่งตัวเองให้ได้
โดยเฉพาะเมื่อน้ำคือชีวิต จึงไม่ต้องรอให้คนอื่นทำ
ทุกคนจึงควรลุกขึ้นมาเรียนรู้ให้อยู่รอดจากภัยแล้งด้วยตนเอง
ผลผลิตจากเกษตรทฤษฎีใหม่2 |
นี่คือหนึ่งตัวอย่างของชุมชนในโครงการ
“เอสซีจีร้อยใจ 108
ชุมชนรอดภัยแล้ง” ที่มีภูมิคุ้มกันในยามที่ทั่วโลกต้องเผชิญกับวิกฤต
ไม่ว่าจะเป็นโรคอุบัติใหม่อย่าง “โควิด-19” หรือ “ภัยแล้ง” เพราะ “ชุมชนป่าภูถ้ำ ภูกระแต อ.แวงน้อย จ.ขอนแก่น” ลุกขึ้นมาสร้างความมั่นคงทางทรัพยากรด้วยตนเอง
มีอาหาร มีอาชีพ มีรายได้ มีความเข้มแข็ง และมีความสุขบนวิถีแห่งความพอเพียง
และพร้อมจะเป็น “ผู้ให้” เพื่อช่วยขยายผลความสำเร็จสู่ชุมชนอื่นๆ
ในลุ่มน้ำชีต่อไป
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น