นายประพัฒน์ ปัญญาชาติรักษ์ ประธานสภาเกษตรกรแห่งชาติ
กล่าวในการประชุมทางไกลออนไลน์เพื่อรับทราบการดำเนินงานของสำนักงานสภาเกษตรกรแห่งชาติ
ภายใต้สถานการณ์การระบาดของไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) และสื่อสารถึงรัฐบาลด้านความเดือดร้อนของเกษตรกรในภาคชนบท
ว่าขณะนี้อ่อนแอและอ่อนแรงมากจนจะล่มสลาย
การช่วยเหลือเยียวยาจากรัฐบาลในภาคชนบทขาดความชัดเจนไม่เป็นรูปธรรม
ด้วยผลกระทบที่เกิดขึ้นหลายมิติมาก เช่น ปัญหาภัยแล้งที่ต่อเนื่องยาวนาน 2 ปี ยังผลให้ภาคการผลิตยากมาก
ปัญหาไวรัสโควิด-19
ระบาดส่งผลให้แม้ผลิตสินค้าเกษตรได้ก็ขายยากมาก ปัญหาที่ทำกินรุนแรงเรื้อรัง ราคาพืชผลตกต่ำต่อเนื่องหลายปี เป็นต้น
ทั้งนี้
ที่ผ่านมาภาคการเกษตรในชนบทเปรียบเป็นเบาะที่รองรับปัญหาทั้งประเทศในยามที่ต้องเผชิญวิกกฤตเศรษฐกิจหลายครั้งมาก
ในทุกครั้งเมื่อเกิดวิกฤตผู้คนจะหลั่งไหลกลับสู่ชนบท อาทิ วิกฤตต้มยำกุ้ง เมื่อปี 2540 แต่ด้วยช่วงนั้นประเทศไทยฝนตกต่อเนื่องตลอด 2 ปี
จึงทำให้ภาคชนบทสามารถเป็นเบาะรองรับปัญหาต่างๆ ได้และฟื้นประเทศชาติได้เร็ว
แต่ครั้งนี้แตกต่างเพราะภาคชนบทถูกดูดซับความมั่งคั่งจนอ่อนแรงที่สุด
ด้วยสาเหตุหนึ่ง “ฝนก็ไม่ดี น้ำในห้วยก็ไม่มี น้ำในเขื่อนก็เหลือน้อยเต็มที”
หากรัฐบาลไม่มีมาตรการฟื้นฟูภาคชนบทให้กลับมาเข้มแข็งเป็นเศรษฐกิจฐานรากที่รองรับสังคมไทยในยามเผชิญวิกฤตการณ์ทางเศรษฐกิจ
ศักยภาพในการรองรับจะนับได้อีกกี่ครั้ง
อย่างไรก็ตาม
สภาเกษตรกรแห่งชาติได้มีการเตรียมการมาตลอดหลายปีที่ผ่านมา เช่น การลงไปค้นหาศักยภาพของเกษตรกรในชนบท
การทำแผนพัฒนาเกษตรกรรมระดับตำบลในทุกตำบล การค้นหาพืชหรือสัตว์เศรษฐกิจใหม่ๆเพื่อเป็นทางเลือกที่ดีให้เกษตรกรในชนบท เป็นต้น
“ถึงเวลาแล้วที่จะกลับมาฟื้นฟูภาคชนบทด้วยแนวทางการพัฒนาเศรษฐกิจการทำการเกษตรบนพื้นฐานศักยภาพ
ภูมิปัญญาของเกษตรกรเองให้โอกาสเกษตรกรภาคชนบท ผมเชื่อมั่นว่าเราจะเข้มแข็ง
แข็งแกร่งมากขึ้น
เป็นฐานรากทางสังคมที่เข้มแข็งสามารถที่จะเป็นเบาะรองรับวิกฤติเศรษฐกิจของชาติได้ในระยะยาวต่อๆ
ไป”ประธานสภาเกษตรกรแห่งชาติ กล่าวปิดท้าย
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น