สถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19
อาจยืดเยื้อกว่าที่คิดไว้ เพราะต้องใช้เวลาพัฒนายาและวัคซีนในการรักษาไม่ต่ำกว่า 1 ปี ทางเลือกที่ดีที่สุดขณะนี้ จึงเป็นเพียงการยับยั้งการแพร่เชื้อให้ลดลง
และประคองสถานการณ์เพื่อไม่ให้กระทบกับเศรษฐกิจมากนัก
ภาครัฐจึงมีการแบ่งโซนจังหวัดออกเป็น 3 โซน ได้แก่ เขียว
เหลือง และแดง โดยจังหวัดที่มีการควบคุมการระบาดของโรคได้ต่อเนื่องเกินกว่า 14 วัน จะได้รับอนุญาตให้กลับเข้าสู่สภาวะปกติ สำหรับประชาชนสิ่งที่ดีที่สุด
คือ ปรับวิถีชีวิตให้คุ้นเคยต่อการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา (New
Normal) ภาคธุรกิจต่างมองว่า วิกฤตโควิด-19
อาจนำมาสู่โอกาสในการพลิกเกมเพื่อพัฒนาเศรษฐกิจท้องถิ่น
หลังแรงงานจากเมืองหลวงหลั่งไหลกลับต่างจังหวัด
จึงถึงเวลาสานต่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของจังหวัดเมืองรอง
ด้วยการส่งเสริมภาคการเกษตร การผลิต และสร้างความเข้มแข็งภายในชุมชน
หนึ่งเครื่องมือสำคัญที่ช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจชุมชน
คือการน้อมนำปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร
มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ในหลวงรัชกาลที่ 9
ที่มีพระราชดำรัส “น้ำคือชีวิต” ให้กำเนิดทรัพยากร
ช่วยหล่อเลี้ยงพืชพันธุ์ต่าง ๆ ให้อุดมสมบูรณ์ เป็นแหล่งผลิตอาหาร สร้างงาน และสร้างรายได้
มาปรับใช้ให้สอดคล้องกับวิถีชีวิต “
“หนีแล้ง” มุ่งขายแรงงานเมืองกรุง
ลุงคำมี
ปุ้งโพธิ์ ชุมชนบ้านป่าเป้ง อ.แวงน้อย จ.ขอนแก่น
ต้นแบบเกษตรกรสู้ภัยแล้งในโครงการ “เอสซีจีร้อยใจ 108 ชุมชนรอดภัยแล้ง” เป็นผู้หนึ่งที่เคยตกอยู่ในวังวนของปัญหารายได้ไม่เพียงพอเลี้ยงปากท้อง
เพราะเติบโตมากับความแห้งแล้ง ต้องเผชิญกับปัญหาฝนดี 2 ปี
และน้ำแล้ง 4 ปี สู้กับน้ำท่วมน้ำแล้งซ้ำซาก มีน้ำไม่เพียงพอสำหรับทำการเกษตร
ทำให้ผลผลิตตกต่ำ จนต้องออกไปรับจ้างขายแรงงานในกรุงเทพฯ
ท้ายที่สุดจึงรู้ว่าสิ่งนี้ ไม่ได้ช่วยให้ชีวิตหลุดพ้นจากความยากจน
เพราะรายรับไม่เพียงพอต่อค่าใช้จ่ายที่สูงลิ่วในเมืองเศรษฐกิจ การหวนกลับสู่บ้านเกิด
คือคำตอบของแรงงานอย่างลุงคำมี เพราะหวังจะสร้างโอกาสให้ชีวิตดีขึ้น
จึงตัดสินใจปลูก ‘มันสำปะหลัง’ พืชเชิงเดี่ยวซึ่งเป็นพืชเศรษฐกิจที่ตลาดโลกต้องการ
แต่กลับถูกกดราคารับซื้อ ได้กำไรเพียง 300-400 บาท
แต่เมื่ออยากจะเปลี่ยนอาชีพมาปลูกข้าวก็พบว่า ‘มีน้ำไม่เพียงพอ’
“สมัยก่อนทุ่งนาคันนามีคันเล็ก
ๆ น้ำไหลมาแค่ตื้น ๆ เพราะแล้ง กันดารจริง ๆ ต้นไม้ในสวนก็เหี่ยวแห้งหมด
จึงไปทำงานในกรุงเทพฯ จนรู้ซึ้ง จึงอยากกลับบ้านมาทำเกษตร และไม่อยากไปทำงานต่างถิ่นอีก”
ลุงคำมีเล่าย้อนถึงความทุกข์จากภัยแล้งจนต้องทิ้งถิ่นฐาน
“แนวพระราชดำริ” พลิกฟื้นคืนชีวิต
จนกระทั่ง มูลนิธิอุทกพัฒน์
ในพระบรมราชูปถัมภ์ และสถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ (องค์การมหาชน) หรือ สสน.
ร่วมมือกับเอสซีจี นำเรื่อง ‘การบริหารจัดการน้ำ’ ตามแนวพระราชดำริ
มาสู่ชุมชนป่าภูถ้ำ ภูกระแต ต.แวงน้อย อ.แวงน้อย จ.ขอนแก่น
จึงทำให้ชุมชนบ้านป่าเป้งซึ่งเป็นพื้นที่ส่วนหนึ่งของป่าภูถ้ำ ภูกระแต
ได้เข้าใจกระบวนการดักน้ำหลากที่ต้องกักเก็บน้ำไว้ในช่วงฤดูฝน
แล้วจึงค่อยผันน้ำเข้าสู่แปลงเกษตรของชุมชน จนสามารถคืนความชุ่มชื้นมาสู่ป่าไม้
พืชพันธุ์ รวมถึงสัตว์เล็ก ๆ อาทิ กบ อึ่ง ก็กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง
“จากที่เคยเป็นเพียงผู้ใช้น้ำอย่างเดียว
น้ำไม่พอใช้ น้ำไม่พอปลูกข้าว ก็ได้เห็นความเปลี่ยนแปลง คือมีน้ำเพิ่มขึ้น
เพราะสวมบทบาทเป็นผู้หาน้ำด้วยการเรียนรู้เรื่องการดักน้ำตามแรงโน้มถ่วง
เก็บน้ำเข้าสู่สระน้ำในไร่นา จากมูลนิธิฯ และเอสซีจี
จึงทำให้แปลงเกษตรมีน้ำใช้ตลอดปี”
แปลงเกษตรเก็บเกี่ยวได้ตลอดทั้งปี
นอกจากมีน้ำใช้เพียงพอสำหรับทำเกษตรแล้ว
พื้นที่เพาะปลูกของลุงคำมียังช่วยสร้างรายได้เพิ่มได้ตลอดทั้งปี ด้วยการทำ ‘เกษตรผสมผสาน
ตามแนวทฤษฎีใหม่’ โดยเริ่มต้นจากจัดสรรแปลงที่ดินในพื้นที่กว่า
21 ไร่ เปลี่ยนจากเดิมที่ทำนา 12 ไร่
ก็ค่อยๆ ลดพื้นที่ทำนาให้เหลือ 4-5 ไร่ พร้อมขุดสระน้ำ 2 สระ เพื่อให้มีน้ำไว้ใช้ทำเกษตรและเลี้ยงปลา
และใช้พื้นที่ที่เหลือปลูกไม้ยืนต้น ไม้สวน รวมถึงพืชสมุนไพร
โดยไม่ใช้สารเคมีกำจัดศัตรูพืช ทำให้ผลลัพธ์ที่ได้คือที่ดินกว่า 21 ไร่ของลุงคำมีเป็นแหล่งรายได้หมุนเวียน มีผลผลิตที่เก็บเกี่ยวได้ทั้งรายวัน
รายเดือน และรายปี
“พืชผักสวนครัวสร้างรายได้เป็นรายวัน
ส่วนสมุนไพร ไม้ยืนต้น และไม้ผล สร้างรายได้เป็นรายเดือน
ในขณะที่ผักหวานสร้างรายได้เป็นรายปี
สิ่งสำคัญคือต้องวางแผนการเพาะปลูกให้เหมาะสมกับปริมาณน้ำในสระน้ำ โดยสระน้ำหลักจะรับน้ำที่เชื่อมต่อท่อมาจากหนองผักหวานซึ่งเป็นสระน้ำแก้มลิงของชุมชน
และจากสระน้ำหลักก็ต่อท่อไปลงอีกสระเพื่อกระจายน้ำสู่แปลงเกษตร”
เกษตรกรยุค 4.0
ใช้เทคโนโลยีช่วยประหยัดน้ำและเงิน
เพราะเป็นเกษตรกรที่รักการเรียนรู้ จึงสามารถสร้างสรรค์นวัตกรรมที่นำเทคโนโลยีมาใช้ในการเกษตรให้สมกับเป็นเกษตรกรยุค
4.0
ด้วยการติดตั้งโซลาเซลล์ลอยน้ำ เพื่อช่วยสูบน้ำจากสระหลักขึ้นไปเก็บไว้บนถังสูง
แล้วกระจายน้ำแบบมินิสปริงเกอร์เข้าแปลงเกษตร ทำให้ประหยัดค่าไฟฟ้าได้มากขึ้น ขณะเดียวกัน
ชุมชนได้รวมกลุ่มทำข้อตกลงประจำหมู่บ้าน ร่วมกันจ่ายเงินค่าน้ำในอัตราชั่วโมงละ 20 บาท เมื่อรับน้ำเข้าพื้นที่ ลุงคำมีจึงมีต้นทุนค่าน้ำเฉลี่ยเดือนละ 1,000 บาท ซึ่งถือว่ายังสมเหตุสมผล
เมื่อเปรียบเทียบกับผลผลิตที่สร้างรายได้ให้อย่างน่าพอใจ ทั้งผักหวาน ฝรั่ง มะนาว
โดยรายได้เฉลี่ยของลุงคำมีสูงถึงเดือนละ 50,000 บาท หรือราว 576,000
– 960,000 บาทต่อปี ซึ่งระบบการจัดสรรน้ำช่วยลดต้นทุนได้ถึง 384,000 บาทต่อปี
“จะหาเงิน
1,000 บาท แค่เดินเก็บพืชผักผลไม้ในสวนไปขายก็ได้แล้ว
แค่ผักหวานอย่างเดียว ก็สร้างรายได้เพิ่มขึ้นกว่า 200,000
บาทต่อปีแล้ว” ลุงคำมีเล่าถึงความสุข และความภาคภูมิใจบนผลผลิตจากไร่ที่สร้างมา
ศูนย์พึ่งตน ”ลุงคำมี” เกษตรกรผู้มั่งคั่ง-กูรูเปี่ยมสุข สู่ “ศูนย์เรียนรู้เกษตรพอเพียง”
วิถีชีวิตเกษตรกรได้พลิกชีวิตของลุงคำมีให้อยู่ดีกินดี
มีรายได้เลี้ยงดูครอบครัว และส่งลูกเรียนหนังสือจนได้ปริญญา ลุงคำมีจึงเปรียบเสมือนคนต้นแบบของการเรียนรู้วิถีชีวิตเศรษฐกิจพอเพียง
ไร่ แปลงผัก และสวนป่าแห่งนี้จึงกลายเป็น “ศูนย์เรียนรู้เกษตรพอเพียง”
ที่พร้อมถ่ายทอดวิชาการพึ่งพาตนเอง
เป็นตำนานผู้พลิกชีวิตจากแรงงานเมืองกรุงฯ สู่เกษตรกรผู้เปี่ยมสุข และแบ่งปัน
“ไร่แห่งนี้ปลูกทุกอย่างที่กินได้และกินทุกอย่างที่ปลูก
ใช้ชีวิตอยู่อย่างพอเพียง ผมจะสืบสานทำไปเรื่อย ๆ
ลูกหลานไม่ว่าเยาวชนหรือกลุ่มไหนก็แล้วแต่ เข้ามาในสวน ผมจะให้ความรู้หมด
ไม่หวงความรู้ จะบอกและแนะนำวิธีการทำทุกอย่าง ถ่ายทอดให้เขาเอาไปทำต่อได้”
นี่คือวิถีชีวิตแบบเศรษฐกิจพอเพียงที่เกิดจากหนึ่งคน
จนสามารถขยายผลไปสู่หมู่บ้านใกล้เคียง และชุมชนอื่น ทำให้เห็นว่า
ยิ่งแบ่งปันและแลกเปลี่ยนเรียนรู้มากขึ้นเท่าใด
เศรษฐกิจชุมชนก็พร้อมแข็งแกร่งมากขึ้นเท่านั้น
ต้นแบบวิถีชีวิตพึ่งพาเศรษฐกิจชุมชนสอดคล้องกับยุคโควิด-19 เมื่อเกิดการปิดเมือง ควบคุมการเดินทางเข้า-ออกประเทศ
วิถีการเกษตรคือแหล่งผลิตอาหาร ซึ่งเป็นปัจจัยพื้นฐานในการใช้ชีวิต
เป็นกลไกสำคัญให้ประเทศอยู่รอดได้อย่างยั่งยืน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น